วันเวลาล่วงไป ล่วงไป บัดนี้เราจะเข้าพรรษาแล้วอีกไม่กี่วัน ก่อนเข้าพรรษาจะมีจัดคอร์สปฏิบัติธรรม ภาษาอังกฤษเรียกว่า รีทรีท (retreat) คือ การเก็บอารมณ์เข้าปฏิบัติ หลวงพ่อเทียนท่านใช้คำว่า รีทรีท(retreat) มาตลอด หลวงพ่อเทียนทันสมัยนะ ตั้งแต่ก่อนอาตมาเห็นหลวงพ่อเทียนตัดผมสั้น ใส่เสื้อขาวแขนยาว ผูกเน็คไทด้วย หลวงพ่อเทียนเป็นบุคคลที่ทันสมัย ท่านบอกว่ากินแบบฝรั่ง สมัยก่อนนะ กินแบบฝรั่งกินอย่างไรหลวงพ่อ ก็ตื่นเช้ามาต้องกินกาแฟ ขนมปัง แล้วก็ไปทำงาน หลังๆ มาก็เลยเป็นโรคกระเพาะเลย เห็นไหม กินน้อย ทำงานมาก ยิ่งมาปฏิบัติธรรมยิ่งกินน้อย หลวงพ่อเทียนนะ
อาตมารู้จักหลวงพ่อเทียนตั้งแต่อายุ 25 ปี มาเจอหลวงพ่อเทียนนะ หลวงพ่อเทียนก็อายุ 50 กว่าปี เจอกับท่านแล้วก็ขอมอบกายถวายตัวกับท่าน เรียกว่าปฏิบัติธรรม หลวงพ่อทำอย่างไรผมจะทำอย่างนั้น หลวงพ่อรู้อย่างไรผมอยากจะรู้อย่างนั้น ให้ถ่ายทอดความรู้ คิดอย่างนั้นนะ มีอะไรสอนให้เต็มที่เลยหลวงพ่อ จะเฆี่ยน จะตี จะดุด่าว่ากล่าว จะให้บุกน้ำลุยไฟก็จะบุก คือมันเกิดศรัทธาแล้ว มอบกายถวายตัว เป็นทางเลือกสุดท้ายแล้ว ไม่มีทางไปอีกแล้ว คิดว่า สมถะ เป็นทางตัน เราฝึก สมถะ พุทโธ มาหลายปี มันตันแล้วสำหรับเรา หินทับหญ้า หญ้าขึ้นไม่ได้แน่นอน เมื่อใดยกหินออก หญ้าก็งอกทันที ทำนองนั้นนะ เราเข้าป่าเข้าถ้ำแล้ว กิเลสเราลดแล้ว มาเจอปัญหา แล้วหนักกว่าเก่า เอาไม่อยู่ ต้องหนีเข้าป่าอีก ให้ไกลที่สุดเลย จะเป็นฤษีตาไฟแล้ว จะไม่กินข้าวกับคนแล้ว ขนาดนั้นนะ เออ มันน้อยใจ ใจน้อย ใจปลาซิว หลวงพ่อเทียนพูดคำหนึ่งเป็นอมตะธรรมเลย “คนจริงรู้ของจริง” จริงๆ คนจริงต้องรู้ของจริง อันนี้เป็นเรื่องอมตะธรรมจริงๆ นะ หลวงพ่อเทียนยืนยันตลอดมาว่า “หาของมีอยู่ มันต้องเจอเข้าสักวัน ถ้าหาถูกที่นะ ถ้าหาไม่ถูกที่ หาเท่าไรก็ไม่เจอ เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด หาไม่เจอ หาเท่าไรก็ไม่เจอ” หลวงพ่อเทียนพูดดี อาตมาก็เจอหลายเที่ยวแล้ว ของหายนี่หาไม่เจอ 5 วัน 10 วันนะ เป็นเดือนก็มีบางที เมื่อเจอเข้า อ้าว มันอยู่นี่เองนะ เราไม่ได้หา มันเจอได้ยังไง หยุดหาแล้ว ขี้เกียจหาแล้ว มันกลับเจอกัน หลวงปู่ดูลย์ว่านะ “คิดๆ คิดธรรมะ คิดก็ไม่ออก ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่รู้ พอหยุดคิดปุ๊บมันรู้ทันทีเลย” หลวงปู่ดูลย์พูดถูกนะ พอหยุดดูมันรู้ทันทีเลย โห จริงๆ ตอนคิดเท่าไรก็ไม่รู้ หาเท่าไรก็ไม่เจอ เพราะยังไม่ถึงเวลา หาไม่ถูกที่ หาถูกที่มันอยู่นี่เอง หลวงพ่อเทียนอุปมาว่า คนเราเนี่ยเจาะบาดาล เจาะที่ไหนก็เจอน้ำทุกที่ บางคนไปเจาะยอดเขาลงมา ก็ถูก แต่ก็หลายปีหลายเดือน แต่หลวงพ่อจะไปเจาะข้างๆ บ่อ ข้างๆ บึง หลวงพ่อเทียนพูดเล่นๆ นะ มุขของท่าน หลวงพ่อจะไปเจาะข้างบึง ขุดสองสามคืบก็ขึ้นแล้ว เจอน้ำแล้ว คนฉลาดมันต้องอย่างนั้น ปฏิบัติก็เหมือนกันนะ v
พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงสติปัฏฐาน 4 แก่พระสงฆ์ เป็นเอกลักษณ์หลักปฏิบัติ แต่หลักตรัสรู้เป็น อริยสัจ 4 รู้อริยสัจ 4 คือการตรัสรู้ แต่หลักปฏิบัติ คือสติปัฏฐาน 4
หลวงพ่อเองก็หาคำตอบมาหลายปี ถามครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นว่า พุทโธ เป็นยังไง ทำไมต้อง พุทโธ หลักปฏิบัติคืออะไร บวชใหม่ๆ หาถามครูบาอาจารย์ใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย เข้าถึงหมด หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ชา อยากจะรู้อันนี้แหละ สรุปความโดยย่อก็คือ สติปัฏฐาน 4 นี่เอง ทำไมเอาพุทโธ เอาบริกรรมไปใส่ พุทธานุสติก็ดีนะ ทำไปทำมา พุทธานุสติหาย อานาปานสติ ลมหายใจก็หายเหมือนกัน หายหมดเลย พวกเราสมาธิมันเข้ม มันเข้าภวังค์กลายเป็นฌานไปเลย เข้าไปใต้ก้นบึ้งของนรกสวรรค์นู่น อยู่ไหนไม่รู้ล่ะ สนุกดี เข้าสมาธิ เข้าฌาน เข้าสมาบัติ กันไปเลย
แต่มาเจอหลวงพ่อเทียนนี่แหละ เออนี่ พุทโธแท้ๆ เลยนี่ 1000% แต่ก่อนมันครึ่งพุทธครึ่งพราหมณ์ ครึ่งผีครึ่งคน ครึ่งพระครึ่งโยม ครึ่งสมถะครึ่งวิปัสสนา มันครึ่งเดียว บัดนี้มาเจอหลวงพ่อเทียน เนี่ยเต็มร้อยเลย โอ้ พุทโธ แปลว่า รู้ ตื่น เบิกบาน ไม่จำเป็นต้องหลับตาเลย หลับตาก็รู้ ลืมตาก็เห็น พุทโธ ปัดโธ่เลย เออทำแบบนี้มันดีนี่ เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ คุ้มค่าที่บวชมา คุ้มค่าชีวิตที่เกิดเป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนา หลวงพ่อเทียนพูดดีว่า “ศาสนา แปลว่าคำสั่งสอนของท่านผู้รู้” ใครรู้อะไรก็เอานั้นมาสอน รู้พราหมณ์ก็ศาสนาพราหมณ์ รู้คริสต์ก็ศาสนาคริสต์
อาตมาบวชใหม่ๆ ไปอยู่กับหลวงพ่อชา เจ้าคุณสุเมโธ พระฝรั่งองค์แรกของประเทศไทยเลยนะ บวชแล้วไปอยู่กับหลวงพ่อชา หลวงพ่อชาบวชให้นั่นนะ จริงๆ ท่านบวชอยู่วัดมหาธาตุฯ นี่เอง เป็นสามเณร 2 ปี ก็ไปบวชกับหลวงพ่อที่หนองคาย เจ้าคุณสุเมโธเล่าให้ฟังว่า แต่เดิมท่านจำพรรษาอยู่วัดเนินพระเนาว์ ท่านว่าตกนรกทั้งพรรษาเลย หาความสุขไม่มีเลย มีแต่ความทุกข์ หาคนพูดภาษาอังกฤษก็ไม่มีสักคน อาจารย์ก็พูดไม่ได้ แล้วขังท่านไว้อย่างนั้นน่ะ เก็บตัว แต่ท่านไม่หนี ท่านบอก อยู่นั่นแหละ ทุกข์ก็ทุกข์อยู่นี่แหละ จากนั้นมาก็เลยได้ข่าวว่าหลวงพ่อชา ที่อุบล เป็นอาจารย์สอนกรรมฐาน ก็ไม่รู้ภาษาอังกฤษอีก แต่ท่านศรัทธาหลวงพ่อชามาก ว่าหลวงพ่อชาเป็นพระอรหันต์ ท่านไปหา หลวงพ่อชาก็พานั่งสมาธิ บางทีท่านก็เถียงในใจ หลวงพ่อชาเอาระบบทาสมาใช้นะ อาตมาก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ท่านสุเมโธบอก หลวงพ่อชาเอาระบบทาสมาใช้นี่ ให้พระอาบน้ำให้ ล้างตีน ล้างรองเท้า ล้างอะไรให้ แล้วก็ทำแทบทุกวันอย่างนี้ ล้างรองเท้าทำกันอย่างดี ระบบทาสนะ ท่านสุเมโธก็เถียง หลวงพ่อชาก็หาเหตุหาผลมาอ้าง เพราะจะลดกิเลสพวกคุณนั่นเอง ลดทิฐิมานะพวกคุณนั่นน่ะ ก็จริงของท่านนะ วันพระก็ไม่ให้นอน ไม่นอนก็ปวดหัวสิ ท่านสุเมโธก็เถียงหลวงพ่อชา บางทีก็มีล่ามบ้าง บางทีก็ไม่มี เพราะฉะนั้นคำตอบง่ายๆ ก็คือ ศึกษาเรียนรู้ อดทน รู้ไม่รู้ก็ต้องทนปฏิบัติ ทำตามท่านนั่นแหละ ทำไปทำมามันรู้นิ
ท่านเลยถามหลวงพ่อชา “ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ สอนฝรั่งได้ยังไง หลวงพ่อสอนเขายังไง” หลวงพ่อชาก็พูดดีด้วย “พวกคุณเอาควายมาไถนา คุณรู้ภาษาควายหรือ” ไม่รู้ แต่เอามาไถนาได้ เพราะฉะนั้นเรื่องสอนพวกฝรั่งก็เหมือนกัน ใช้ภาษาปฏิบัติ ภาษามือ ภาษากาย ก็เลยได้ เขาก็ทำตามสิ เมื่อทำตาม ก็รู้ตาม เห็นตาม เข้าใจตาม มันก็แค่นั้นนะ
สำนักหลวงพ่อชาก็อนุญาตให้ภิกษุไปสมัครสำนักปริยัติไว้ก่อน ไปลงทะเบียนว่า พระดา สมฺมาคโต ขอสมัครเรียนนักธรรม ก็ลงไว้ ถึงเวลาสอบก็ต้องไปสอบกับเขา อยู่วัดเรานี่แหละ เดินจงกรม สร้างสตินี่นะ แต่ว่าอ่านหนังสือได้ เวลาว่างเราก็อ่านหนังสือทบทวนข้อสอบ แล้วไปสอบเท่านั้นเอง วันหนึ่งเจ้าหน้าที่ก็ถาม “หลวงพ่อไปได้พาสปอร์ตอเมริกามาได้ยังไง ทำไมต้องได้พาสปอร์ตอเมริกา” ก็เลยตอบเขาง่ายๆ “เอ้า ไปอยู่อเมริกาตั้งนาน อยู่นานๆเข้า สมัครสอบกับเขา สมัครสอบสัญชาติ (citizen) เขาก็ให้สอบ สอบผ่านก็ได้พาสปอร์ตอเมริกา” เขามีข้อสอบประวัติศาสตร์อเมริกาเป็นข้อสอบ 100 ข้อ เขาจะถามเฉยๆ 10 ข้อ ถ้าคุณตอบได้ 6 ข้อ ก็สอบผ่านแล้ว เหมือนเราสอบนักธรรม 10 ข้อ คุณตอบได้ 7 ข้อก็สอบผ่านแล้วนะ สอบนักธรรมตรี โท เอก ไม่ได้ไปเรียนกระดานกับเขาเลย สอบแบบนั้นน่ะ ก็เลยผ่านมาทุกปี หลวงพ่อชามีอนิสงส์เยอะ ทำให้เราเกิดเรียนลัด ไม่ต้องเรียนกับเขาที่กระดานครูอาจารย์สอน ส่วนเรื่องปฏิบัติ เราก็คิดว่าจะพิสูจน์ตัวเองนะ พุทโธทำมามากแล้ว สมถะทำมามากแล้ว หนอก็ทำมาเยอะเหมือนกันนะ เอาทุกอย่าง พิสูจน์ทุกอย่าง สัมมาอะระหังก็เอา เอาทุกอย่าง เหมือนกับอาหารนี่แหละ เขาว่าอาหารดี ลองชิมดูสิ ลองกินดูสิ พิสูจน์อาหาร พิสูจน์วิธีการปฏิบัติ ก่อนไปธรรมทูตอเมริกาเขาก็อบรม 2 เดือน อยู่ที่แคมป์สน นั่งหนอนะ วัดมหาธาตุเป็นทีมใหญ่ทีมเวิร์กจัดการอบรมธรรมทูต เดี๋ยวนี้ก็ยังอบรมอยู่ รุ่นละ 70-80 รูป อยู่นะ แต่ละปีก็อบรมแล้วส่งไปต่างประเทศ ไปก็โดดร่มเยอะแยะเลย ไปแล้วก็สึกอยู่อเมริกาเยอะเลย สึกอยู่ต่างประเทศ กลับมาสึกเมืองไทยก็เยอะ เพราะมาสายอินเดีย พระอินเดียก็จะสึกอยู่แล้ว ไปเป็นครูบาอาจารย์ จะเป็นผู้บริหาร เป็นเจ้าเป็นนาย เรียนเป็นเจ้าเป็นนาย ด็อกเตอร์ทั้งนั้นจบอเมริกา จบอินเดีย ด็อกเตอร์ปริญญาเอกทั้งนั้นล่ะ
กลับมาที่พวกเรานะวัดสนามใน เราก็อยู่กันไม่มากเกินไป ก็มีสถานที่พอเป็นสัปปายะ สัปปายะ แปลว่า สบาย หลายๆ คนว่า “เรายังจนอยู่ บ้านนอกบ้านนา ปากท้องยังหิวอยู่ ปฏิบัติธรรมไม่ได้ หลวงพ่อ” “ทำไมปฏิบัติไม่ได้” “ปากกัดตีนถีบอยู่” ไม่จริงหรอก นั่นเป็นการอ้างที่ไม่สมเหตุสมผล ถ้าเป็นชาวพุทธจริงมันต้องต่อสู้ ปากกัดตีนถีบ ทำไร่ทำสวนทำนา คิดว่าไม่จนนะ ปัญญาไม่จน ชาวพุทธเราถ้าเป็นชาวพุทธจริงๆไม่ต้องฆ่าตัวตายด้วย ชาวพุทธจริงนะฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลสนี่ดีได้บุญด้วย ได้ความสุขนะ
หลายคนมาถาม ความสุขคืออะไร เราก็หาเหมือนกันนะ ความสุขคืออะไร วันหนึ่งอยู่วัดโมกข์ อดีตผู้ว่า เป็นผู้ว่ามาหลายจังหวัด คุยกับหลวงพ่อเทียน หลวงพ่อเทียนให้ถอดนาฬิกากับแว่นตาออกมาก่อน แกก็รับเหตุรับผลนะ หลวงพ่อเทียนเอานาฬิกาแกไปซ่อนไว้ข้างหลัง “อ้าว ลืมตา นาฬิกากับแว่นตาคุณหายไปล่ะ” “หายไปก็ช่างมันเถอะหลวงพ่อ ของนอกกายหาใหม่ก็ได้” ไปนู้นเลย หลวงพ่อเทียนบอกว่า “อย่างนั้นไม่ได้ ไม่ถูกแล้ว ยิ่งทำยิ่งของหาย เสียหายหมดสิ” หลวงพ่อเทียนก็ว่าหนักๆ อย่าโง่ อย่าเง่า อย่าหลง จากนั้นแกก็ไปถามอาตมา “หลวงพี่ๆ บวชมาทำไมหลวงพี่” “ก็บวชหาความจริง รู้จักไหมความสุขจริงๆ คืออะไร ความสุขก็คือความไม่ทุกข์แหละ ความสุขจริงๆ คือ ความไม่ทุกข์” แกรับได้เลย” เออจริงหลวงพี่” ความไม่ทุกข์ ร่างกายไม่ป่วยไม่ไข้ มันไม่ทุกข์ มันไม่ทุกข์คือความสุข ว่ามันเป็นปกติ แกยอมรับได้ “ผมไปหลายที่ ถามมาหลายรูปหลายท่านแล้ว ไม่เหมือนหลวงพี่เลย หลวงพี่ดา” แล้วปฏิบัติจริงๆ นี่คิดถึงพระพุทธเจ้า แล้วยืนหยัดยืนยันว่า การตรัสรู้ การรู้ความจริงๆ นั้น คือ ความสุขที่แท้จริง พระพุทธเจ้าตรัสรู้นะวันนั้นน่ะ ตรัสรู้แล้วเป็นยังไง พระองค์เสวยวิมุตติสุขสิ ยืนดูต้นโพธิ์ นั่งสมาธิ เดินไปเดินมา เสวยวิมุตติสุขอยู่ตั้ง 5-6 สัปดาห์ ไม่ไปไหนเลย พระพุทธเจ้าอยู่องค์เดียว เสวยวิมุตติสุข นั่นคือความสุขที่แท้จริง การตรัสรู้ก็รู้ความจริง จริงๆ เป็นความสุขที่แท้จริง หมดทุกข์แล้ว นั่นแหละคือความสุขที่แท้จริง เขาถึงทิ้งบ้านทิ้งเรือน ทิ้งราชวัง เป็นกษัตริย์ก็ทิ้งกษัตริย์ เป็นมหาเศรษฐีก็ทิ้งไป เข้าป่าเป็นขอทานกันไปเลย เราอัศจรรย์เลยนะ แล้วพวกเราล่ะ มาบวช บวชทิ้งบ้านทิ้งเรือนไหม บวชหาบ้านหาเรือนไหม อาตมาเคยพูดหลายเที่ยว เพื่อนก็โกรธมากเลย “ผมไม่ได้บวชหาลูกหาเมียนะ ผมไม่ได้บวชหาเงินหาทองนะ ผมบวชหาพระพุทธเจ้านะ ผมบวชมาหาความจริง”
วันหนึ่งหลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอ จังหวัดอุดร ดาเขียนประวัติย่อมานะ ทำไมหลวงพ่อ เดี๋ยวจะขอให้เป็นพระครู ผมไม่เอาหรอก ผมไม่เขียนนะ เดี๋ยวจะถอดยศเราอีก เรามียศก็ถอดยศเราสิ ตอนดีก็ให้เรา ตอนไม่ดีก็ถอดยศ เพราะฉะนั้นเราเห็นพิษเห็นภัย เห็นคุณเห็นประโยชน์มันอยู่แล้ว โลกธรรมเราจะเอาไปทำไม ไม่ใช่อวดดี เอาก็ได้ไม่เอาก็ได้ สำหรับอาตมาคิดว่าจะหาความจริง หาพระพุทธเจ้า หาทางพ้นทุกข์อย่างเดียว มันก็เลยง่ายสิ ปฏิบัติง่ายสิ ทำไมสมัยพุทธกาล ทำไม่กี่วันกี่เดือนก็ไปแล้ว เป็นอรหันต์หมดเลย สมัยปัจจุบันทำไมไม่เห็นอรหันต์บ้าง “หลวงพ่อ หลวงพ่อดาล่ะเป็นอะไรหรือยัง” กำลังหันอยู่นี่ หันซ้ายหันขวา หันหน้าหันหลังอยู่นี่ ก็หันอยู่ พูดไปก็เป็นอุตริมนุสธรรม อวดอุตริมนุสธรรมก็ไม่ได้ “เป็นอะไรก็ได้ ไม่เป็นอะไรก็ได้ เป็นไม่ทุกข์พอแล้ว” หลวงพ่อเทียนพูดนะ อยู่กับความไม่ทุกข์เนี่ยดีที่สุด เพราะฉะนั้นเรื่องการปฏิบัติ ไม่ใช่เป็นเรื่องยาก ไม่ใช่เป็นเรื่องสุดวิสัยนะ เป็นเรื่องอยู่ในวิสัยเรานี่แหละ ในสูตรที่เราสวด
“สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา” ปฏิบัติสะดวกสบาย รู้ได้ง่าย บางคนนะเหมือนกับแก้ว น้ำมันจะเต็มแก้วแล้ว เติมลงไปอีกนิดหน่อยก็เต็มแก้วแล้ว
“สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา” ปฏิบัติง่ายๆ แต่ว่ารู้ได้ยาก สบายแบบเทวดา
“ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา” ปฏิบัติลำบากทุลักทุเล แต่ก็รู้ได้
“ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา” ปฏิบัติลำบาก รู้ลำบาก ปฏิบัติลำบาก รู้ช้า
ภิกษุรูปหนึ่งเข้าพรรษา แกไม่นอนนะ ไม่นอนเลย พระจักขุบาล ไม่นอน อดทน อยู่กับการเดิน ยืน นั่ง ไม่นอน จนกระทั่งตาบอด ก็กลายเป็นพระอรหันต์อยู่นะ ลำบากลำบนแต่อรหันต์อยู่ ก็ได้ผลอยู่
เพราะฉะนั้นคนเราไม่เสมอกัน ไม่เหมือนกันทั้งหมดนะ เขาเรียกว่าอินทรีย์ อินทรีย์ไม่เท่ากัน ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ไม่เท่ากัน อย่างอาตมา ก็มีอินทรีย์ที่มุทะลุ ยอมตาย เป็นเด็กดื้อ เขาปฏิบัติ เราก็ดื้อปฏิบัติ ก็เลยสนุกเลย ก็เลยรู้ มุทะลุดุดัน มุทะลุไปถูกทาง มันก็ไปทางถูก มันก็ถึงสิ ปีนเขาลงห้วยก็ไปถึง ไอ้คนที่ท้อถอย ไม่ไปแล้ว เดี๋ยวตกเหว ไม่ไปแล้ว ตกเขาตาย ไม่ขึ้นแล้ว สูง ท้อถอย ไม่มีความกล้าหาญพอ ไปไม่ได้ คนที่กล้าหาญพอ ยอมตายแล้ว ยอมสุดๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้วันนั้นก็ยอมตาย นั่งสมาธิ ถ้าไม่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ยอมตายที่นี่ไม่หนีไปไหนแล้ว เอาอย่างนั้นเลย ยอมตายก็เลยไม่ตาย รอดเลยเห็นไหม ตรัสรู้เลย เพราะฉะนั้นเรื่องการปฏิบัติเป็นเรื่องดี เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องยาก และยังมีสุภาษิตยืนยันอีก “สุกะรัง สาธุนา สาธุ” คนดีทำดีง่าย “สาธุ ปาเปนะ ทุกกะรัง” คนชั่วคนไม่ดีทำดียาก หรือ ไม่อยากจะทำเพราะมันยาก คนดีทำดีง่ายเพราะชอบทำ คนไม่ชอบ อย่าไปนั่งเลย สมาธิวิปัสสนา ยกไม้ยกมือ ไม่ชอบ บอกไม่มีในพระไตรปิฎก พุทธวจนะหรอก อ้างพุทธวจนะเฉยเลย ผู้ไม่ชอบเป็นอย่างนั้น ผู้ชอบ ลองดูสิ ลองนิดหน่อย ลองดู ลองดู ก็ลองมั่ง เขาปฏิบัติได้ก็อยากจะลอง ก็เลยดี ถ้าไม่เข้าใจ ไม่ถูกจริต ก็หนีไป ทิ้งไป ก็จบแล้ว
สมควรแก่เวลานะ ขอจบเรื่องไว้แค่นี้
คนจริงต้องรู้ของจริง ความจริงหนีคนจริงไปไม่พ้น
ใส่ความเห็น