รู้สึกกาย รู้สึกใจ 24 มิถุนายน 2023

อารมณ์ของการเจริญสติด้วยวิธีเคลื่อนไหว (๒/๒)

๒. *อารมณ์ปรมัตถ์*

“…**ให้เอาสติมาดูความคิด

มันคิดให้รู้-ให้เห็น-ให้เข้าใจ-ให้สัมผัสได้

คิดปุ๊บ-ตัดปั๊บทันที** ทำเหมือนแมวจับหนู

หรือเหมือนนักมวยขึ้นเวที ต้องชกทันที-ไม่ต้องไหว้ครู

แพ้-ชนะเป็นเรื่องของนักมวย ต้องชกทั้งนั้น…ไม่ต้องรอใครทั้งนั้น

หรือเหมือนกับขุดบ่อน้ำ เมื่อเจอน้ำแล้ว

เป็นหน้าที่ที่จะต้องวิดตม-วิดเลน-วิดน้ำออกให้หมด

น้ำเก่าก็ตักออกให้หมด น้ำใหม่ก็ตักออกให้หมด

บัดนี้น้ำใหม่ที่อยู่ข้างในจะออกมา

เราต้องกวนปากบ่อ ล้างปากบ่อ

ล้างตม-ล้างเลนเหล่านั้น **ทำบ่อย ๆ น้ำจะสะอาดขึ้นเอง

เมื่อน้ำสะอาดแล้ว

อะไรตกลงในบ่อ จะรู้-จะเห็น-จะเข้าใจได้ทันที

การตัดความคิดออกก็เช่นเดียวกัน ตัดได้ไวเท่าใด-ยิ่งดีเท่านั้น**

แล้วให้เราเห็น*วัตถุ*-เห็น*ปรมัตถ์*-เห็น*อาการ*

‘วัตถุ’ หมายถึงของที่มีในโลก

ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวคน และจิตใจของคนและสัตว์

‘ปรมัตถ์’ หมายถึงของที่มีอยู่จริง

กำลังเห็นอยู่-มีอยู่-เป็นอยู่เฉพาะหน้า สัมผัสได้ด้วยใจ

‘อาการ’ หมายถึงการเปลี่ยนแปลง

สมมติน้ำสีมีเต็มกระป๋อง เดิมคุณภาพดี ๑๐๐%

ถ้าเอาไปย้อมผ้า มันจะติดเนื้อผ้าไป ๑๐๐%

**เมื่อเรารู้-เราเห็น-สัมผัสได้ทางจิตใจ

น้ำสีปริมาณเต็มกระป๋องเหมือนเดิม แต่คุณภาพเสื่อมไปแล้ว

เอาไปย้อมผ้า จะไม่ติดเนื้อผ้าอีกเลย

อันนี้ต้องเห็น-ต้องรู้จริง ๆ**

แล้วเห็น*โทสะ-โมหะ-โลภะ*

แล้วให้เห็น*เวทนา*-เห็น*สัญญา*-เห็น*สังขาร*-เห็น*วิญญาณ*

เห็น-รู้-สัมผัสได้-เข้าใจจริง ๆ เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัย

ตอนนี้จะเป็นปีติเพียงเล็กน้อย

*ปีติจึงเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติธรรมเบื้องสูง*

**เราไม่ต้องข้องแวะกับปีตินั้น เราต้องมาดูความคิด**

นี้เป็นอารมณ์ปรมัตถ์ขั้นต้น

ของการเจริญสติแบบนี้ของผู้มีปัญญา

**ให้ดูความคิดต่อไป** มันจะปรากฏมีความรู้

หรือญาณ หรือปัญญาญาณเกิดขึ้น

เห็น-รู้-เข้าใจ*กิเลส-ตัณหา-อุปาทาน-กรรม*

ฉะนั้นความยึดมั่น-ถือมั่นจะจืดลง คลายลง-จางลง

เหมือนกับน้ำสีที่ไม่มีคุณภาพ ย้อมผ้าจะไม่ติด

ก็จะเป็นปีติขึ้นมาอีก ไม่ต้องข้องแวะกับปีตินั้น

ให้ถอนความพอใจและไม่พอใจออกเสีย

**ให้ดูความคิดต่อไป ดูจิตใจที่กำลังนึกคิดอยู่**

มันจะมีญาณชนิดหนึ่งปรากฏเกิดขึ้น เห็น-รู้-เข้าใจศีล

*ศีลขันธ์-สมาธิขันธ์-ปัญญาขันธ์

หรือ อธิศีลสิกขา-อธิจิตตสิกขา-อธิปัญญาสิกขา*

‘ขันธ์’ แปลว่ารองรับ หรือต่อสู้

‘สิกขา’ แปลว่าบดให้ละเอียด-หรือถลุงให้หายไป

**ศีล จึงเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ**

‘กิเลสอย่างหยาบ’ คือ โทสะ-โมหะ-โลภะ นี่เอง

(และ)กิเลส-ตัณหา-อุปาทาน-กรรม

**เมื่อโทสะ-โมหะ-โลภะ กิเลส-ตัณหา-อุปาทาน-กรรม

จืดจาง-คลายไปแล้ว ศีลจึงปรากฏ**

**สมาธิ เป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง**

‘กิเลสอย่างกลาง’ คือความสงบ

คือ เห็น-รู้-เข้าใจจำพวกกามาสวะ-ภวาสวะ-อวิชชาสวะ

เพราะ*กิเลสเหล่านี้เป็นกิเลสอย่างกลาง ทำให้จิตใจสงบ*

อันนี้เป็นอารมณ์หนึ่งของการเจริญสติแบบนี้

เมื่อรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้

มันจะไปรู้การให้ทาน-รักษาศีล-ทำกรรมฐานอีกด้วย ทุกแง่-ทุกมุม

แล้วมันจะเกิดญาณปัญญาขึ้นภายในจิตใจ

รู้*การทำชั่วด้วยกาย เป็นบาปกรรมอย่างไร ?

ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน ?*

รู้*การทำชั่วด้วยวาจา เป็นบาปกรรมอย่างไร ?

ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน ?*

รู้*การทำชั่วด้วยใจ เป็นบาปกรรมอย่างไร ?

ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน ?*

รู้*การทำชั่วด้วยกาย-วาจา-ใจพร้อมกัน เป็นบาปกรรมอย่างไร ?

ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน ?*

ตรงกันข้าม

รู้*การทำดีด้วยกาย เป็นบุญกุศลอย่างไร ?

ถ้าสวรรค์นิพพานมีจริง จะไปอยู่สวรรค์นิพพานชั้นไหน ?*

รู้*การทำดีด้วยวาจา เป็นบุญกุศลอย่างไร ?

ถ้าสวรรค์นิพพานมีจริง จะไปอยู่สวรรค์นิพพานชั้นไหน ?*

รู้*การทำดีด้วยใจ เป็นบุญกุศลอย่างไร ?

ถ้าสวรรค์นิพพานมีจริง จะไปอยู่สวรรค์นิพพานชั้นไหน ?*

รู้*การทำดีด้วยกาย-วาจา-ใจพร้อมกัน เป็นบุญกุศลอย่างไร ?

ถ้าสวรรค์นิพพานมีจริง จะไปอยู่สวรรค์นิพพานชั้นไหน ?*

**เท่านี้ล่ะครับ คล้าย ๆ กับขาดปุ๊บ! จิตใจนี่สะเดิดขึ้นเลยครับ**

จิตใจผมนี่ขาดออกจากกันก็บ่แม่น ขาดก็แม่น

ผมก็บ่เห็นจิตใจผมนี่ขาดโลด

ขาดปุ๊บ สะเดิดขึ้นโลดครับผม

ผมเดินจงกรมอยู่นี่ เดินไป-เดินมา

**จบอารมณ์ของการเจริญสติวิธีนี้ มันจะเป็นอย่างมหัศจรรย์

และยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีอยู่ในจิตใจของคนทุกคน ไม่ยกเว้น

ถ้าหากยังไม่รู้ในขณะนี้ จวนจะหมดลมหายใจต้องรู้แน่นอนที่สุด

คนที่เจริญสติ-เจริญปัญญา มีญาณรู้**

*(ส่วน)คนที่ไม่ได้เจริญสติ-ไม่ได้เจริญปัญญา

จวนจะหมดลมหายใจ ก็เป็นเหมือนกัน…แต่เขาไม่รู้

เพราะเขาไม่มีญาณรู้แจ้ง-เห็นจริง*

**รู้ด้วยญาณปัญญาของการเจริญสติจริง ๆ รับรองได้

ท่านว่า ‘ถึงที่สุดแล้ว ญาณย่อมมี

ถึงที่สุดแล้ว ญาณย่อมปรากฏขึ้น’**

*เมื่อไม่ถึงที่สุด ญาณปรากฏไม่ได้*

**พอดีญาณปรากฏขึ้นมา มันจะขาดออกจากกันทั้งหมด**

ถอนผมขึ้นมาดูที่ตรงนี้เลย ‘เออ…รากมันมีแค่นี้’

ถ้าไม่มีราก อันนี้ก็ไม่มี

บัดนี้ คน(ก็ยัง)กินข้าว กินอาหารเข้าไปเลี้ยงร่างกาย(ได้)

อันนี้มันเป็นสภาพสภาวะ

**เมื่อเรารู้จักอันนี้ จิตมันจะไม่ไว

จิตมันจะไปช้า ๆ ไป ช้าที่สุด

มันจะรู้ขึ้นทันที ‘เออ-มันไปไม่ได้’

แต่ถึงว่ามันจะคิด มันก็ไปไม่ได้

ถึงมันจะเป็นอะไร-มันก็ไปไม่ได้ เพราะมันไปช้า

นี่-มันจะมาถึงที่ตรงนี้ ญาณย่อมมี

เหมือนกับว่าญาณที่ปรากฏขึ้นมา ก็ญาณย่อมมี(ว่า)

‘ชาติสิ้นแล้ว-ภพสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว

กิจอื่นไม่มีต่อไปแล้ว’ มันขาดแล้ว-มันขาด

เคยพูดให้ฟัง ‘มันขาดออกจากกันนี่นะ มันไม่ถึงกันแล้ว’

ชาติสิ้นแล้ว ชาติสิ้นก็หมายถึงไม่มีแล้ว ชาติ-ภพไม่มีแล้ว

ชาติสิ้นแล้ว-ภพสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว

คือการปฏิบัติธรรมก็จบกันที่ตรงนี้

กิจอื่นไม่มีแล้ว ก็ไม่มีกิจธุระที่จะทำ**

แต่ว่าต้องทำ-ทำก็ทำอันนี้นี่ ไม่ต้องไปทำอันอื่นไกลแล้วนี่

เรารู้จักแล้ว

นรก-สวรรค์ เรารู้จักแล้ว

บาป-บุญ คุณ-โทษ…เรารู้จักแล้ว

ผิด-ถูก เรารู้จักแล้ว

จบกัน

(แล้ว)ก็อยู่อย่างนั้น

**กินข้าวได้ เดินดินไปไหน-มาไหน ทำการทำงาน ซื้อ-ขายได้

แต่ไม่มีทุกข์ เท่านี้เองนี่**

**คอยระวังวิปลาสจะเกิดขึ้น ให้มีความรู้สึกตัว

อย่าไปติดความสุข หรืออะไรทั้งหมดที่เกิดขึ้น

สุขก็ไม่เอา ทุกข์ก็ไม่เอา…กลับคืนมาทวนอารมณ์บ่อย ๆ

ตั้งแต่อารมณ์ของรูป-นามขึ้นไป จนถึงอารมณ์ที่สุด เป็นชั้น ๆ

ให้รู้จักว่าอารมณ์เป็นขั้นเป็นตอน

รับรองถ้าเจริญสติอย่างถูกต้อง อย่างนานไม่เกิน ๓ ปี

อย่างกลาง ๑ ปี อย่างเร็วที่สุด ๑ วันถึง ๙๐ วัน

อานิสงส์ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีทุกข์จริง ๆ**”

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

————————————————————————————————

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※

※ ※

※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※

※ ※

※ อย่าหลงชีวิต ※

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ

_/|\_ _/|\_ _/|\_


Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *