อารมณ์ของการเจริญสติด้วยวิธีเคลื่อนไหว (๒/๒)
๒. *อารมณ์ปรมัตถ์*
“…**ให้เอาสติมาดูความคิด
มันคิดให้รู้-ให้เห็น-ให้เข้าใจ-ให้สัมผัสได้
คิดปุ๊บ-ตัดปั๊บทันที** ทำเหมือนแมวจับหนู
หรือเหมือนนักมวยขึ้นเวที ต้องชกทันที-ไม่ต้องไหว้ครู
แพ้-ชนะเป็นเรื่องของนักมวย ต้องชกทั้งนั้น…ไม่ต้องรอใครทั้งนั้น
หรือเหมือนกับขุดบ่อน้ำ เมื่อเจอน้ำแล้ว
เป็นหน้าที่ที่จะต้องวิดตม-วิดเลน-วิดน้ำออกให้หมด
น้ำเก่าก็ตักออกให้หมด น้ำใหม่ก็ตักออกให้หมด
บัดนี้น้ำใหม่ที่อยู่ข้างในจะออกมา
เราต้องกวนปากบ่อ ล้างปากบ่อ
ล้างตม-ล้างเลนเหล่านั้น **ทำบ่อย ๆ น้ำจะสะอาดขึ้นเอง
เมื่อน้ำสะอาดแล้ว
อะไรตกลงในบ่อ จะรู้-จะเห็น-จะเข้าใจได้ทันที
การตัดความคิดออกก็เช่นเดียวกัน ตัดได้ไวเท่าใด-ยิ่งดีเท่านั้น**
แล้วให้เราเห็น*วัตถุ*-เห็น*ปรมัตถ์*-เห็น*อาการ*
‘วัตถุ’ หมายถึงของที่มีในโลก
ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวคน และจิตใจของคนและสัตว์
‘ปรมัตถ์’ หมายถึงของที่มีอยู่จริง
กำลังเห็นอยู่-มีอยู่-เป็นอยู่เฉพาะหน้า สัมผัสได้ด้วยใจ
‘อาการ’ หมายถึงการเปลี่ยนแปลง
สมมติน้ำสีมีเต็มกระป๋อง เดิมคุณภาพดี ๑๐๐%
ถ้าเอาไปย้อมผ้า มันจะติดเนื้อผ้าไป ๑๐๐%
**เมื่อเรารู้-เราเห็น-สัมผัสได้ทางจิตใจ
น้ำสีปริมาณเต็มกระป๋องเหมือนเดิม แต่คุณภาพเสื่อมไปแล้ว
เอาไปย้อมผ้า จะไม่ติดเนื้อผ้าอีกเลย
อันนี้ต้องเห็น-ต้องรู้จริง ๆ**
แล้วเห็น*โทสะ-โมหะ-โลภะ*
แล้วให้เห็น*เวทนา*-เห็น*สัญญา*-เห็น*สังขาร*-เห็น*วิญญาณ*
เห็น-รู้-สัมผัสได้-เข้าใจจริง ๆ เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัย
ตอนนี้จะเป็นปีติเพียงเล็กน้อย
*ปีติจึงเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติธรรมเบื้องสูง*
**เราไม่ต้องข้องแวะกับปีตินั้น เราต้องมาดูความคิด**
นี้เป็นอารมณ์ปรมัตถ์ขั้นต้น
ของการเจริญสติแบบนี้ของผู้มีปัญญา
**ให้ดูความคิดต่อไป** มันจะปรากฏมีความรู้
หรือญาณ หรือปัญญาญาณเกิดขึ้น
เห็น-รู้-เข้าใจ*กิเลส-ตัณหา-อุปาทาน-กรรม*
ฉะนั้นความยึดมั่น-ถือมั่นจะจืดลง คลายลง-จางลง
เหมือนกับน้ำสีที่ไม่มีคุณภาพ ย้อมผ้าจะไม่ติด
ก็จะเป็นปีติขึ้นมาอีก ไม่ต้องข้องแวะกับปีตินั้น
ให้ถอนความพอใจและไม่พอใจออกเสีย
**ให้ดูความคิดต่อไป ดูจิตใจที่กำลังนึกคิดอยู่**
มันจะมีญาณชนิดหนึ่งปรากฏเกิดขึ้น เห็น-รู้-เข้าใจศีล
*ศีลขันธ์-สมาธิขันธ์-ปัญญาขันธ์
หรือ อธิศีลสิกขา-อธิจิตตสิกขา-อธิปัญญาสิกขา*
‘ขันธ์’ แปลว่ารองรับ หรือต่อสู้
‘สิกขา’ แปลว่าบดให้ละเอียด-หรือถลุงให้หายไป
**ศีล จึงเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ**
‘กิเลสอย่างหยาบ’ คือ โทสะ-โมหะ-โลภะ นี่เอง
(และ)กิเลส-ตัณหา-อุปาทาน-กรรม
**เมื่อโทสะ-โมหะ-โลภะ กิเลส-ตัณหา-อุปาทาน-กรรม
จืดจาง-คลายไปแล้ว ศีลจึงปรากฏ**
**สมาธิ เป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง**
‘กิเลสอย่างกลาง’ คือความสงบ
คือ เห็น-รู้-เข้าใจจำพวกกามาสวะ-ภวาสวะ-อวิชชาสวะ
เพราะ*กิเลสเหล่านี้เป็นกิเลสอย่างกลาง ทำให้จิตใจสงบ*
อันนี้เป็นอารมณ์หนึ่งของการเจริญสติแบบนี้
เมื่อรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้
มันจะไปรู้การให้ทาน-รักษาศีล-ทำกรรมฐานอีกด้วย ทุกแง่-ทุกมุม
แล้วมันจะเกิดญาณปัญญาขึ้นภายในจิตใจ
รู้*การทำชั่วด้วยกาย เป็นบาปกรรมอย่างไร ?
ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน ?*
รู้*การทำชั่วด้วยวาจา เป็นบาปกรรมอย่างไร ?
ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน ?*
รู้*การทำชั่วด้วยใจ เป็นบาปกรรมอย่างไร ?
ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน ?*
รู้*การทำชั่วด้วยกาย-วาจา-ใจพร้อมกัน เป็นบาปกรรมอย่างไร ?
ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน ?*
ตรงกันข้าม
รู้*การทำดีด้วยกาย เป็นบุญกุศลอย่างไร ?
ถ้าสวรรค์นิพพานมีจริง จะไปอยู่สวรรค์นิพพานชั้นไหน ?*
รู้*การทำดีด้วยวาจา เป็นบุญกุศลอย่างไร ?
ถ้าสวรรค์นิพพานมีจริง จะไปอยู่สวรรค์นิพพานชั้นไหน ?*
รู้*การทำดีด้วยใจ เป็นบุญกุศลอย่างไร ?
ถ้าสวรรค์นิพพานมีจริง จะไปอยู่สวรรค์นิพพานชั้นไหน ?*
รู้*การทำดีด้วยกาย-วาจา-ใจพร้อมกัน เป็นบุญกุศลอย่างไร ?
ถ้าสวรรค์นิพพานมีจริง จะไปอยู่สวรรค์นิพพานชั้นไหน ?*
**เท่านี้ล่ะครับ คล้าย ๆ กับขาดปุ๊บ! จิตใจนี่สะเดิดขึ้นเลยครับ**
จิตใจผมนี่ขาดออกจากกันก็บ่แม่น ขาดก็แม่น
ผมก็บ่เห็นจิตใจผมนี่ขาดโลด
ขาดปุ๊บ สะเดิดขึ้นโลดครับผม
ผมเดินจงกรมอยู่นี่ เดินไป-เดินมา
**จบอารมณ์ของการเจริญสติวิธีนี้ มันจะเป็นอย่างมหัศจรรย์
และยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีอยู่ในจิตใจของคนทุกคน ไม่ยกเว้น
ถ้าหากยังไม่รู้ในขณะนี้ จวนจะหมดลมหายใจต้องรู้แน่นอนที่สุด
คนที่เจริญสติ-เจริญปัญญา มีญาณรู้**
*(ส่วน)คนที่ไม่ได้เจริญสติ-ไม่ได้เจริญปัญญา
จวนจะหมดลมหายใจ ก็เป็นเหมือนกัน…แต่เขาไม่รู้
เพราะเขาไม่มีญาณรู้แจ้ง-เห็นจริง*
**รู้ด้วยญาณปัญญาของการเจริญสติจริง ๆ รับรองได้
ท่านว่า ‘ถึงที่สุดแล้ว ญาณย่อมมี
ถึงที่สุดแล้ว ญาณย่อมปรากฏขึ้น’**
*เมื่อไม่ถึงที่สุด ญาณปรากฏไม่ได้*
**พอดีญาณปรากฏขึ้นมา มันจะขาดออกจากกันทั้งหมด**
ถอนผมขึ้นมาดูที่ตรงนี้เลย ‘เออ…รากมันมีแค่นี้’
ถ้าไม่มีราก อันนี้ก็ไม่มี
บัดนี้ คน(ก็ยัง)กินข้าว กินอาหารเข้าไปเลี้ยงร่างกาย(ได้)
อันนี้มันเป็นสภาพสภาวะ
**เมื่อเรารู้จักอันนี้ จิตมันจะไม่ไว
จิตมันจะไปช้า ๆ ไป ช้าที่สุด
มันจะรู้ขึ้นทันที ‘เออ-มันไปไม่ได้’
แต่ถึงว่ามันจะคิด มันก็ไปไม่ได้
ถึงมันจะเป็นอะไร-มันก็ไปไม่ได้ เพราะมันไปช้า
นี่-มันจะมาถึงที่ตรงนี้ ญาณย่อมมี
เหมือนกับว่าญาณที่ปรากฏขึ้นมา ก็ญาณย่อมมี(ว่า)
‘ชาติสิ้นแล้ว-ภพสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจอื่นไม่มีต่อไปแล้ว’ มันขาดแล้ว-มันขาด
เคยพูดให้ฟัง ‘มันขาดออกจากกันนี่นะ มันไม่ถึงกันแล้ว’
ชาติสิ้นแล้ว ชาติสิ้นก็หมายถึงไม่มีแล้ว ชาติ-ภพไม่มีแล้ว
ชาติสิ้นแล้ว-ภพสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
คือการปฏิบัติธรรมก็จบกันที่ตรงนี้
กิจอื่นไม่มีแล้ว ก็ไม่มีกิจธุระที่จะทำ**
แต่ว่าต้องทำ-ทำก็ทำอันนี้นี่ ไม่ต้องไปทำอันอื่นไกลแล้วนี่
เรารู้จักแล้ว
นรก-สวรรค์ เรารู้จักแล้ว
บาป-บุญ คุณ-โทษ…เรารู้จักแล้ว
ผิด-ถูก เรารู้จักแล้ว
จบกัน
(แล้ว)ก็อยู่อย่างนั้น
**กินข้าวได้ เดินดินไปไหน-มาไหน ทำการทำงาน ซื้อ-ขายได้
แต่ไม่มีทุกข์ เท่านี้เองนี่**
**คอยระวังวิปลาสจะเกิดขึ้น ให้มีความรู้สึกตัว
อย่าไปติดความสุข หรืออะไรทั้งหมดที่เกิดขึ้น
สุขก็ไม่เอา ทุกข์ก็ไม่เอา…กลับคืนมาทวนอารมณ์บ่อย ๆ
ตั้งแต่อารมณ์ของรูป-นามขึ้นไป จนถึงอารมณ์ที่สุด เป็นชั้น ๆ
ให้รู้จักว่าอารมณ์เป็นขั้นเป็นตอน
รับรองถ้าเจริญสติอย่างถูกต้อง อย่างนานไม่เกิน ๓ ปี
อย่างกลาง ๑ ปี อย่างเร็วที่สุด ๑ วันถึง ๙๐ วัน
อานิสงส์ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีทุกข์จริง ๆ**”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
————————————————————————————————
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※
※ ※
※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※
※ ※
※ อย่าหลงชีวิต ※
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ
_/|\_ _/|\_ _/|\_

ใส่ความเห็น