“…**จิตใจที่สบาย จิตใจไม่ยึด-ไม่ถือ
อันนั้นแหละ ท่านเรียกว่า‘สันติ’-คือความสงบ
ความสงบอยู่ที่ไหน ?
ก็อยู่ที่เรานี่เอง** *อย่าไปศึกษาที่อื่น*
ที่จิตใจ คือลักษณะจิตใจที่ไม่ยึดมั่น-ถือมั่น**
*ความยึดมั่น-ถือมั่น มันไม่ใช่ใจเรา
เขาเรียกว่า‘กิเลส’ ท่านว่าอย่างนั้น
เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั่นเอง
จิตใจของคนทุกคนเหมือนกัน แต่มันไม่เข้าใจ*
พูดให้ฟังแล้ว-ไม่เข้าใจ ท่านจึงว่า‘นานาจิตตัง’
เห็นเขาทำผิด สงสารเขาบ้าง-เพราะเขาไม่รู้
เขาไม่รู้-เขาจึงทำ พวกหนูเข้าใจไหม ?
ถ้าเขารู้แล้ว เขาไม่ทำ
อย่างเขาเดินตกบันได-เขาไม่รู้ว่าจะตกบันได เขาตกบันได-เขาเจ็บ…นี่
เขาเรียนหนังสือ…เขาสอบ นึกว่าเขียนข้อนี้-มันจะถูกต้อง
เขาจึงเขียนไป แต่มันผิด
*เห็นเขาทำผิดนั้น พระพุทธเจ้าบอกว่า‘น่าสงสาร-เพราะเขาไม่รู้
ถ้าเขาโกรธขึ้นมา-ก็น่าสงสาร เพราะเขาไม่รู้ทุกข์นั่นเอง’*
นี่-พระพุทธเจ้าท่านสอน
**อย่าเป็นทุกข์กับคน เราต้องให้มันสบายใจ**
เห็นเขาทำผิด-‘โอ! เขาไม่รู้’…ช่วยเตือนเขาบ้าง
เดี๋ยวนี้คนไม่เป็นอย่างนั้น พอเห็นเขาทำผิด-ก็ไปจับผิดว่าทำผิดทำไม ?
เพราะเขาไม่รู้-เขาจึงทำผิด ถ้าเรารู้แล้ว-จะไปพูดอย่างนั้นทำไม ?
ดังนั้นการฟังธรรมวันนี้ ก็ไม่ต้องพูดมาก
คำว่าความสงบนั้น ไม่ได้หมายถึงว่าไปนั่ง
ถ้าหากทุกคนไปนั่งหลับตาเพื่อให้มันสงบ ใครเล่าจะทำมาหากิน
ไก่ขึ้นไปขี้ใส่ในบ้าน-เปื้อนหมด
ถ้าเราลืมตา-เห็นไก่ขึ้นบ้าน เราก็ไล่มันไป
ความสงบมี ๒ อย่าง
สงบแบบไม่รู้อย่างหนึ่ง สงบแบบเห็นแจ้งอย่างหนึ่ง
**สงบแบบเห็นแจ้ง เขาเรียกว่า‘สงบวิปัสสนากัมมัฏฐาน’**
*สงบแบบไม่เห็นแจ้ง เรียกว่า‘สงบสมถกัมมัฏฐาน’
สมถกัมมัฏฐาน จึงเป็นอุบายให้สงบจิต-สงบใจเท่านั้น*
**วิปัสสนากัมมัฏฐาน ต้องเห็นแจ้ง-รู้จริง-ต่างเก่าล่วงภาวะเดิม
คือทีแรกเป็นปุถุชน เมื่อเห็นจิตใจตนเองแล้ว
พัฒนาจิตใจตนเองขึ้นไป-ขึ้นไป-ขึ้นไป-ขึ้นไป จนเป็นอริยบุคคล**
คำว่า‘อริยบุคคล’ หมายถึงเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้านั่นเอง
**พระพุทธเจ้าก็คือคนธรรมดาที่รู้แจ้ง-เห็นจริง**
ดังนั้น วันนี้ให้พวกหนู ๆ ทุกคนที่อยู่ในโรงพยาบาล
ทำตนของตนให้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นชาวพุทธจริง ๆ
แต่พวกหนูบางคน อาจจะถือคริสตศาสนา
ไม่ว่าจะเป็นศาสนาคริสต์-ศาสนาอิสลาม-ศาสนาฮินดู
ถือศาสนาไหนก็คือคนนั่นเอง ตัวคนนั่นแหละเป็นตัวศาสนา
พระพุทธเจ้าองค์เดียวที่สอนเรื่องจิต-เรื่องใจ
**ท่านสอนให้เรามารู้-มาเห็นจิตใจของตนเอง**
ศาสนาอื่นนั้นสอนให้ไหว้ครู-ไหว้พระผู้เป็นเจ้า-ไหว้ทิศทาง ไหว้วอนเอา
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น
**ท่านว่า‘อักขาตาโร ตะถาคะตา-ตถาคตเป็นเพียงผู้แนะแนว
การประพฤติปฏิบัตินั้น เป็นหน้าที่ของเธอ’
ท่านจึงสอนว่า‘ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน พึ่งคนอื่นไม่ได้’**
*ให้คนอื่นทำจิตใจของเราไม่ได้*
อย่างที่หลวงพ่อพูดนี่ ก็เช่นเดียวกัน
**หลวงพ่อเพียงแต่แนะแนวว่า‘หนูอย่าไปนั่งหลับตา
จิตใจมันคิด-ให้หนูรู้
หนูเขียนหนังสืออยู่ ถ้าจิตใจมันคิด-ให้หนูรู้
หนูนอนอยู่ ถ้ามันคิด-ให้หนูรู้
รู้แล้ว มากำมือ-เรียกว่า‘รูปขันธ์’
กำมือ-เหยียดมือ…ให้รู้สึกตัว เพื่อมันจะได้วางความคิดเรื่องนั้น**
*ถ้าหากหนูปล่อยให้เข้าไปในความคิด มันก็คิดไปเรื่อย ๆ ไม่มีทางหยุด*
ถ้าคิดไม่หยุด หนูต้องเอา(มือ)มาเคาะโป๊ะที่ศีรษะนี่
ศีรษะมันเจ็บ มันก็วางความคิดซิ-มันมาอยู่ตรงที่เจ็บ
พอวางความคิดได้ หนูอ่านหนังสือ-ก็จำได้ดี
ถ้าจิตฟุ้งซ่าน อ่านหนังสือ-จะจำไม่ได้
มันง่วงนอน อ่านหนังสือ-จำไม่ได้
เราไม่รู้-เมื่อมันง่วงนอนทำอย่างไร แก้ปัญหาอย่างไร ?
เอ้า! นอนสักนิดเดียวก็ได้ ๒ หรือ ๕ นาที…ให้มันสนิท
เมื่อมันสนิทแล้ว-มันก็หาย เมื่อหายแล้ว-อ่านหนังสือก็จำได้
แต่ถ้าง่วงนอนแล้วยังอ่านหนังสือ ก็เสียทั้ง ๒ อย่าง
นอนก็ไม่ได้นอน หนังสือก็จำไม่ได้…”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
————————————————————————————————
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※
※ ※
※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※
※ ※
※ อย่าหลงชีวิต ※
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ
_/|\_ _/|\_ _/|\_

ใส่ความเห็น