รู้สึกกาย รู้สึกใจ 12 พฤษภาคม 2023

“…ขอให้ทุกคนทำดีเอาไว้

ไม่ใช่ทำดี-เอาดีนะ ทำดีเอาไว้เท่านั้น

บางคนว่า‘ทำดี-ได้ดี…ทำชั่ว-ได้ชั่ว’ ไม่ใช่อย่างนั้น

ทำดี-มันดีเท่านั้นเอง ทำชั่ว-มันชั่ว…มันจะได้อะไรมา ?

คนทำดีนี่ จิตใจมันดี-มันจึงทำดีได้

คนทำชั่ว จิตใจมันชั่ว-มันจึงทำชั่วได้

*คนเราทุกคน-ความดีมีอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้จักเอาความดีมาใช้เท่านั้นเอง*

**ขอให้เราทุกคนเอามาใช้กับชีวิตของเราเป็นประจำ

ไปไหน-มาไหน เอาธรรมะไปใช้**

*อย่าเพิ่งเข้าใจว่าเฒ่าแก่แล้ว จึงจะเข้าวัด

เฒ่าแก่แล้ว-จึงจะไปทำกัมมัฏฐาน ไม่ใช่อย่างนั้น*

**ทำการ-ทำงาน พูด-คิด…เป็นธรรมทั้งนั้น

ธรรมจึงคือตัวเรานี่เอง ฐานคือที่ตั้งของจิต-ของใจ**

ฐานคือที่ตั้งของรูป เรียกว่า‘มีขันธ์ ๕’

ขันธ์ ได้แก่ รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ

หรือรูปขันธ์-เวทนาขันธ์-สัญญาขันธ์-สังขารขันธ์-วิญญาณขันธ์

เขาเรียกว่า‘ขันธ์ ๕’ ขันธ์ ๕ อันนี้-ตายแล้วเข้าโลง

แต่ถ้าไม่เอารูปขันธ์ เอาแต่เวทนาขันธ์-สัญญาขันธ์-สังขารขันธ์-วิญญาณขันธ์

เขาเรียกว่า‘ขันธ์ ๔’ ขันธ์ ๔ ไม่มีตัว-ไม่มีตน…มองไม่เห็น

เวทนาขันธ์ รู้สึกได้-มองไม่เห็น…ไม่มีตัวตน

สัญญาขันธ์ จำได้-มองไม่เห็น…ไม่มีตัวตน

สังขารขันธ์ คิดได้-ไม่มีตัวตน

วิญญาณขันธ์ รู้ได้-ไม่มีตัวตน

ไม่ใช่วิญญาณตายแล้ว ล่องลอยไปที่นั่น-ที่นี่

นั่นเป็นวิญญาณของพราหมณ์(สอนกัน)

พระพุทธเจ้าท่านคิดค้นเรื่องนี้เอง

‘โอ-วิญญาณแปลว่ารู้’ รู้อะไร ?

รู้ทุกสิ่ง-ทุกอย่าง ‘วิญญาณ’จึงแปลว่ารู้

ฉะนั้นเมื่อหนู**ไปทำกัมมัฏฐาน ไม่ต้องไปกำหนดที่ไหน-ไม่ต้องกำหนดเลย

วิญญาณมันรู้อยู่ทุกขุมขน มันแตะต้องที่ไหน-รู้ที่นั่น

‘วิญญาณ’ จึงแปลว่ารู้ยิ่ง-รู้วิเศษ

หรือ‘ปัญญา’ก็แปลว่ารู้จริง มันต้องมีปัญญาอย่างนั้น

พระพุทธเจ้าสอนให้คนมีปัญญา

ปัญญานี่แหละจะเอาชนะโรคได้**

*ถ้าขาดปัญญาเสียอย่างเดียว เอาชนะโรคไม่ได้

คนไม่มีปัญญา จะไปทำอะไรได้ ?…ต้องอาศัยปัญญา*

คนไปนั่งหลับหู-หลับตา มันจะมีปัญญาไหม ?

หลวงพ่อเคยให้คน ๆ หนึ่งทำกัมมัฏฐาน

เขาเป็นคนมีการศึกษาสูง ไปทำเขื่อนน้ำพรม

เขาทำกัมมัฏฐานมาได้ ๗ ปี

หลวงพ่อถามเขาว่า‘ทำกัมมัฏฐานไหม ?’

(เขาตอบว่า)‘ทำ’

‘ทำอย่างไร ?’ หลวงพ่อถามเขา

เขาก็ตอบว่า‘ทำอย่างนั้น-ทำอย่างนี้’

‘เอ้า-ทำให้หลวงพ่อดู’

เขามีนาฬิกา-มีแว่นตา-มีปากกา มีของหลายอย่าง

นั่งอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อที่ขอนแก่น

เขาเอาของออกจากกระเป๋ามาวางไว้ตรงหน้า

เขานั่งสมาธิแล้วหลับตา เขาเข้าฌาน-นั่งหลับตา

หลวงพ่อก็เลยเอาของของเขาไปแอบไว้ข้างหลัง

แล้วหลวงพ่อก็บอกให้เขาลืมตา (เขา)มองเห็นของหายไป

หลวงพ่อถามว่า‘การหลับตานี้ มันให้คุณหรือให้โทษ ?’

(เขาตอบว่า)‘ให้โทษ’

‘อ้าว! คุณเรียนหนังสือ-ไม่ใช่คนโง่ คุณเรียนจบชั้นไหน ?’

เขาบอกว่า‘จบปริญญา’

‘จบปริญญาแล้ว-มันยังโง่ขนาดนั้นได้ เพราะมันไม่รู้ใช่ไหม ?’

‘แล้วของหาย-มันดีไหม ? มันไม่ดีนะ’

พูดเท่านั้น-เขาเข้าใจเลย เขาก็เลย‘อ๋อ!’

ไม่ต้องหลับตา คนหลับตากินข้าวก็ไม่ได้

เดินไปไหน-มาไหนก็ไม่ได้ มันเป็นอย่างนั้น

แม้ทุกคนไปนั่งหลับตา โลกนี้ก็สงบไม่ได้

ถ้าคนไทยไปนั่งหลับตากันหมด เดี๋ยวนี้เป็นเมืองขึ้นเขา(แล้ว)

เวลาเจ็บป่วย-ก็ไม่มีคนรักษา เป็นโรค-ตายกันทั้งโลกทีเดียว

การหลับตานั้นก็ดี หลวงพ่อไม่ได้ว่าไม่ดี

แต่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้า ต้องมองเห็นทุกทิศ-ทุกทาง

ตา-เห็น หู-ได้ยิน รู้ว่าอะไรควร-อะไรไม่ควร

**พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้ สอนเรื่องจิต-เรื่องใจ

อย่าให้จิตใจมันโกรธขึ้นมา เพราะจิตใจเดิมแท้มันไม่โกรธ**

*โกรธไม่ใช่จิตใจ โกรธเป็นกิเลส-มันเป็นทุกข์*

ใครมีทุกข์เป็นเจ้าเรือน เรียกว่า‘สัตว์เดรัจฉาน’

ไมใช่ตัวคนไปเป็น แต่ใจมันเป็น

คนใดทำ-พูด-คิด…ไม่เห็นจิตใจตนเอง เรียกว่า‘คนไม่มีความละอายแก่ใจ’

คนที่ไม่มีความละอายแก่ใจ ก็คล้าย ๆ สัตว์เดรัจฉาน

**คนใดทำ-พูด-คิด เห็นจิตใจตนเอง-หักห้ามจิตใจได้

เรียกว่า‘มะนุสสะภูโต หรือมะนุสสะมะนุสโส’

คือเป็นมนุษย์แท้จริง** ท่านว่าอย่างนั้น

**พวกเราเป็นนักศึกษา เรียนมาก็มากในเรื่องทางวัตถุ

ต้องศึกษาเรื่องจิต-เรื่องใจด้วย หักห้ามจิตใจตนเองให้ได้

ยกมือไหว้ตนเองให้ได้**

ที่เรายกมือไหว้คุณแม่ของเรา ยกมือไหว้ครูของเรา

ยกมือไหว้พระพุทธเจ้านั้นก็ดี แต่**เราต้องไม่ลืมตัว

จะยกมือไหว้ใคร ต้องไหว้ตัวเองก่อน-จึงเป็นการไหว้ครูที่แท้

ครูของเรา คือ สติ-สมาธิ-ปัญญานั่นเอง**

ที่หลวงพ่อนำมาเล่าให้ฟังวันนี้ บางคนก็อาจจะจดจำได้

บางคนอาจจะจำไม่ได้ บางคนอาจจะรู้วิธีดูจิตใจของตนเองได้ในทันทีก็มี

บางคนยังไม่รู้ว่าจิตใจเป็นอย่างไร ก็นานาจิตตัง

เห็นเขาทำผิด ก็สงสารเขาบ้าง-เพราะเขาไม่รู้

ถ้าเขารู้แล้ว-เขาจะไม่ทำผิด ความผิดจึงเป็นครูของผู้ที่ทำผิด

ผิดแล้วต้องแก้ อย่าผิดแล้วยังทำต่อไป-อย่างนี้มันไม่ถูกต้อง

ผิดแล้วต้องแก้ รู้จักความผิดที่ตรงไหน-ต้องแก้ที่ตรงนั้น

ไม่ใช่ว่าทำผิดแล้ว-เอาทิ้งไว้ตรงนั้นแหละ อันนั้นมันไม่ถูกต้อง

ที่หลวงพ่อได้นำธรรมะมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้

ก็เห็นว่าเป็นเวลาอันสมควรแล้ว

ท้ายที่สุดนี้ หลวงพ่อพร้อมด้วยหลวงตา

พวกหนู ๆ ญาติโยมทุกคนที่นั่งฟังธรรมะอยู่ในสถานที่นี้

ขออ้างเอาคุณพระพุทธเจ้า

และพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

คุณของพระอรหันตสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

มาเตือนจิตสะกิดใจพวกเรา

**ให้พวกเราได้รู้สึกตัว-ตื่นตัว รู้สึกใจ-ตื่นใจ

เห็นชีวิตจิตใจของเราที่สะอาด-สว่าง-สงบ

เห็นจิตใจของเราไม่ยึดมั่น-ถือมั่น อันเป็นภาวะอุเบกขาหรือสันติ

อันมีอยู่พร้อมแล้วในเราทุกคน

ขอให้พวกเราได้พบ-ได้เห็นจิตใจที่แท้จริงของตัวเองในชีวิตนี้

จงทุกท่าน-ทุกคนเทอญ.**”

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

————————————————————————————————

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※

※ ※

※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※

※ ※

※ อย่าหลงชีวิต ※

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ

_/|\_ _/|\_ _/|\_


Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *