“…**มันเป็นวิธีบวกกับลบ
มื้อหนึ่งเราคิด ๑๐๐ เรื่อง เรารู้เรื่องหนึ่ง
มันก็บ่ถึง ๑๐๐ แล้ว มันก็ได้ ๙๙ เท่านั้น
บัดนี้มันคิดมาอีก-เรารู้ ๒ เรื่อง
เรารู้ (ที่ไม่รู้)มันก็ลดลงมา-ลดลงมา
ทางนี้(เรารู้) ก็หลายขึ้น-หลายขึ้น
ทางลบก็ออกไป-ทางบวกก็ได้เพิ่มขึ้นมา เป็นอย่างนั้น
ฉะนั้นต่อมา เรื่องนี้นะ
ก็จะฝึกหัดกัน ให้หัดเบิ่งความคิด
พอดีมันคิดปุ๊บ ทันปุ๊บ**
‘ประมาณเท่าใดแล้ว ?’
ผู้ที่จะเป็นอาจารย์สอนคะเจ้า ต้องถามนักปฏิบัติ
(ถ้า)เรื่องรูป-นาม…รู้จักแล้ว สอนให้เบิ่งความคิด
ต้องสอนให้รู้จักว่า
คะเจ้าคิดลดลงได้แล้วอย่างน้อยต้อง ๗๐%
หรือ ๘๐% หรือ ๙๕%
ถ้าเข้ามาถึง ๙๕% แล้ว อาจารย์ต้องระมัดระวัง-เตรียมตัว
เราเป็นอาจารย์ต้องเตรียมตัว เตรียมตัวอย่างใด ?
ให้คนนั้นเข้าอยู่ในห้องอบรม
คอย(ระวัง)อย่าให้มีอารมณ์ไปพูด-ไปคุยกับคนอื่น
ให้คนนั้นคอยปฏิบัติจริง ๆ (แล้ว)คอยไปชี้แนะ
บ่ไปชี้แนะ มันบ่รู้จัก
เราบ่แม่นพระพุทธเจ้า เราเป็นปุถุชนนี่-คอยฟังเพิ่นชี้แนะ
เห็นไปตามแนวครูบาอาจารย์ เป็นอย่างนั้น
**พอดี มันซิเป็นเอง
เมื่อเป็นเองแล้วก็ดำเป็นขาว หนักเป็นเบา
โง่เป็นฉลาด หน้ามือเป็นหลังมือ
ตะกี้เอาหลังมือเป็นหน้ามือ บัดนี้เปลี่ยนหน้ากันแล้ว**
เป็นอย่างนั้น
บัดนี้ **ความรู้มันมีก่อน-ความโง่ซิหายไป
ความฉลาดเข้ามาแทน
ความดำมีอยู่-แต่ก่อนนะ
(ความ)ดำซิหายไป-ความขาวขึ้นมาแทน เป็นอย่างนั้น
ความเป็นปุถุชน บัดนี้ซิหายไป
ความเป็นอริยบุคคลซิขึ้นมาแทน
แทนไปเป็นลำดับ-ลำดับขึ้นไป เป็นอย่างนั้น-จนถึงที่สุด
มันต้องเป็นอย่างนั้นจริง ๆ**
พระพุทธเจ้าสอนแล้ว บ่ผิดคำสอนของพระพุทธเจ้า
ฉะนั้น **ความโกรธ-ความโลภ-ความหลง มันบ่ได้มีที่เรา**
*เราหลงชีวิตเรา เราบ่เคยเห็นชีวิตจิตใจของเรา
เมื่อผู้ใด-ผู้หนึ่งมา(ต่อ)ว่าให้เรา เราไปจับ
บ่แม่น(ใช้)มือจับ ตัวอวิชชานั่นไปจับเอามา
จับมาแล้วมันปรุงเป็นสังขาร
‘สังขาร’แปลว่าปรุงแต่ง มันหนักแล้ว-หนักใจ
หนักใจแล้วจึงโกรธ โกรธขึ้นมาแล้ว
บัดนี้เราบ่รู้จักทุกข์แล้ว
มันหนัก อย่างน้อยต้อง ๑๐๐% ก็เป็นได้นะ
อันนั้นเพิ่นว่า‘ตกนรกทั้งเป็น’*
ถ้าหากนรกต่อเมื่อตายมีแท้ก็เถอะ
ตายไปแล้ว(ต้อง)ไปตกนรกแท้ ๆ
เบื้องหน้า-ชาติหน้า เราบ่เห็น
นรกมื้ออื่น-ชาติหน้า เราบ่เห็น
**เราเห็นชีวิตจริง-ปัจจุบันเรานี่
เมื่อเราบ่มีทุกข์ในปัจจุบันนี้แล้ว
เราบ่มีความโกรธ-ความโลภ-ความหลง
ใครจะว่าอย่างใด เราอยู่ด้วยสติปัญญา
เห็นชีวิตจิตใจเราอยู่อย่างนี้ เราบ่มีทุกข์**-แม่นบ่ ?’
*คนมีทุกข์แล้วหนักใจ*-แม่นบ่ ?
คนหนักก็คือบักขี้หิน-แม่นบ่ ?
เอาหินไปโยนลงน้ำ มันซิฟูหรือมันซิจม ?
บัดนี้เอาไม้แห้ง ๆ ไปโยนลงน้ำ มันซิจมบ่ ?
แน่! อันนี้คือกัน
ฉะนั้น*จิตใจหนัก ๆ นี่
(ถ้า)ตายไปแล้ว ครันนรกมีจริง ๆ
ก็คือหินนั่นล่ะ จมปิ๊งลงไป-ตกนรกพู้นโลด*
บัดนี้**จิตใจมันเบา หากสวรรค์-นิพพานมีจริง
ตายไปแล้ว มันก็เบา-มันบ่จม**
ที่นี้สวรรค์-นิพพาน เราบ่เห็นด้วยตาเรา
คนโง่ซิเห็นอย่างใด มันต้องเป็นคนฉลาด
มันต้องเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า
**ผู้ใดเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า
เพิ่นว่า‘ได้กระแสพระนิพพาน
ได้ดวงตาเห็นธรรม จิตใจมันบ่หนัก’
หากสวรรค์-นิพพานมีจริง ตายแล้ว-ก็ต้องได้ไปจริง ๆ
บ่ต้องปรารถนาดอก**…”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
————————————————————————————————
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※
※ ※
※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※
※ ※
※ อย่าหลงชีวิต ※
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ
_/|\_ _/|\_ _/|\_

ใส่ความเห็น