“…*ความโลภ-ความโกรธ-ความหลงนั้น‘เป็นบาป-เป็นทุกข์’
โกรธครั้งหนึ่ง ก็เป็นบาป-เป็นทุกข์ครั้งหนึ่ง*
‘บาป’กับ‘มืด’ เป็นอันเดียวกัน
‘มืด’นั้น หมายความว่าไม่เห็น-ไม่รู้-ไม่เข้าใจ
เมื่อเรารู้แล้ว เราก็สบายใจ
เราไม่มีความทุกข์ ไม่มีความสงสัย
ถ้าเขามืด เขามีความทุกข์-มีความสงสัย
เช่น สงสัยว่า‘ตายไปแล้ว ไปเกิดเป็นอย่างนั้น-อย่างนี้’
แต่บางคน รวมทั้งอาตมาเองคนหนึ่ง
ซึ่งเคยได้ทำบุญ-ให้ทาน-รักษาศีล-ทำกรรมฐานมา
ก็ยังสงสัยเรื่องบาป-บุญ ตายแล้วไปตกนรกหรือขึ้นสวรรค์
ไม่เข้าใจในตอนนั้น
พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า
*‘สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ นิพพานก็อยู่ในใจนี้เอง’*
พ่อแม่ปู่ยาตาทวดของเราก็เคยบอกอย่างนี้
แต่เราไม่เอามาคิด ก็เลยไม่เข้าใจ
การศึกษาเล่าเรียนจากตำรับ-ตำรานั้นก็ดี แต่แก้ทุกข์ไม่ได้
ครูบาอาจารย์ผู้สอน ท่านก็บอกว่า
‘ให้ละความโกรธ-ความโลภ-ความหลง’
แต่ท่านเองก็ยังละไม่ได้
*สอนคนอื่นนั้นง่าย แต่สอนตัวเองนั้นยาก*
ส่วนวิธีที่อาตมาว่านี้ไม่ยาก
ไม่ต้องไปศึกษาเล่าเรียนก็ได้
เขียนหนังสือเป็นหรือไม่เป็นก็ได้
อ่านหนังสือได้หรืออ่านไม่ได้ ก็ปฏิบัติได้
เด็กหรือผู้ใหญ่ ชายหรือหญิง
บวชหรือไม่บวช ก็ปฏิบัติได้ทั้งนั้น
*‘ธรรมะมีอย่างเดียว ไม่มีหลายอย่าง’*
ที่พูดกันว่า ‘ธรรมะของคนรักษาศีล ๕ เป็นอย่างหนึ่ง
ธรรมะของคนรักษาศีล ๘ เป็นอีกอย่างหนึ่ง
ธรรมะของนักบวชเป็นอย่างหนึ่ง
ธรรมะของฆราวาสเป็นอีกอย่างหนึ่ง
ธรรมะของคนที่ทำสมถกรรมฐานเป็นอย่างหนึ่ง
ธรรมะของคนที่ทำวิปัสสนาเป็นอีกอย่างหนึ่ง’
อันนั้นเป็นคนละเรื่องกับอันนี้
สำหรับอาตมา อาตมาว่า‘ธรรมะมีอย่างเดียว’
*‘ธรรมะ คือ
การทำให้ความโกรธ-ความโลภ-ความหลงหมดไป’*
การทำอย่างนี้แหละเป็นศีล-เป็นธรรม
**(มีสติรู้ทุกอิริยาบถ จะทำอะไรอยู่ก็ตาม-ให้รู้สึก
เมื่อเจริญสติจนชำนาญแล้ว
ให้คอยดูความคิด เฝ้าดูจิตดูใจของตัวเองตลอดเวลา)**
ในตำราว่า ‘ศีลเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ
สมาธิเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง
ปัญญาเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด’
แต่จริง ๆ แล้ว เรากำจัดได้ไหม ?
*กำจัดไม่ได้
เพราะอะไร ?
เพราะว่าทำไม่ถูกต้อง*…”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
————————————————————————————————
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※
※ ※
※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※
※ ※
※ อย่าหลงชีวิต ※
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ
_/|\_ _/|\_ _/|\_

ใส่ความเห็น