“…เรื่องชีวิตจิตใจนี้ จึงว่ามันมองไม่เห็น
ความเป็นทุกข์หรือไม่ทุกข์ มันก็มองไม่เห็น
จะเปรียบเทียบให้ฟัง
เรื่องความทุกข์-ความสุขนั้น มันไม่เหมือนกัน
‘มีเพื่อนอยู่ ๒ คนด้วยกัน’ ว่าอย่างนั้น
พ่อแม่ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง
‘การเกิดมานี่ เคยไปทำบุญร่วมกัน
เคยไปรักษาศีลร่วมกัน เคยไปทำกรรมฐานร่วมกัน
ผลที่สุดก็ตายแล้วเหมือนกัน’
นี่ ความทุกข์-ความสุข…มันเป็นแบบนี้-ตาย
‘ตายแล้วบัดนี้
คนที่รักษาศีลหรือให้ทานบริสุทธิ์นั้น
ตายแล้ว ก็ต้องไปเกิดเมืองสวรรค์-เป็นเทวดา’
พ่อแม่ปู่ยาตาทวด-ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง
บัดนี้คนที่ให้ทานไม่บริสุทธิ์-รักษาศีลไม่บริสุทธิ์
ให้ว่าทำกรรมฐานอะไรก็ตามแล้ว-ไม่บริสุทธิ์
ตายแล้วก็เลยไปเกิดเป็นหนอนอยู่ในห้องส้วมของพระ
ไม่ใช่ส้วมนอนนะ ส้วมอุจจาระ
บ่อน(สถานที่)ไปถ่ายอุจจาระ ถ่ายหนักนั่นแหละ
ถ่ายหนัก-ถ่ายเบานั่นแหละ ไปเป็นหนอน
บัดนี้ทั้ง ๒ คนนั่นแหละ มีการแสวงหากัน
เพราะว่าได้ให้ทาน-รักษาศีล ทำบุญอะไรร่วมกัน
เลยไม่พบ-ไม่เห็นกันเลย
ก็เลยต่างคน-ต่างแสวงหากันอยู่อย่างนั้น
ผู้ไปเกิดเป็นเทวดานั้น
มีโอกาส-มีเวลาที่จะก้มหน้ามองเห็นทิศทางใต้
เรียกว่าทางลุ่ม(ข้างล่าง)ไปอย่างที่เคยพูดกันมา
ว่าคนที่ขึ้นไปอยู่บนภูเขาสูง ๆ
สามารถที่จะมองเห็นพื้นดินทางใต้-ทางลุ่มนี้ได้
หรือจะเปรียบอีกอย่างหนึ่ง
ก็เหมือนอย่างที่เราไปขึ้นเครื่องบิน เครื่องบินพาไปที่บนฟ้านู่น
หรือจะเปรียบอย่างที่เรานั่งกระเช้า
อย่างที่เขาทำกระเช้าที่มาเลเซียนี่ เราไปนั่งกระเช้ามีเชือก
แล้วเราก็ไปนั่งอยู่ในนั้น ๔ คน ๕ คน
แล้วก็นั่งกระเช้า กระเช้าก็ไป
ก็มองเห็นทิศทางหลายที่-หลายทาง
แล้วก็คนอยู่พื้นดิน(มองไป)บนภูเขา มองไป-ไม่เหมือนกัน
เป็นอย่างนั้น เปรียบเทียบได้อย่างนี้-เรื่องชีวิตของคน
ดังนั้น*การปฏิบัติธรรม*ก็เหมือนกัน คนตกน้ำก็เหมือนกัน
*ความสว่างนั้นจะไม่เหมือนกัน*
ดังนั้นคนที่เป็นหนอนนั้น จึงไม่สามารถมองเห็นเทวดาก่อน
เทวดานั้นจึงสามารถเห็นหนอนก่อน
เมื่อมองเห็นหนอนแล้ว ก็เลยมาหา
ผู้เป็นเทวดามาหาหนอน ก็เลยมา(เรียก)
‘เฮ้ย! เพื่อน ทำไมมาอยู่ที่ตรงนี้’
‘โอ!’ ผู้เป็นหนอนก็เลยรู้ว่าเสียงเพื่อนเรา
(จึงถามกลับ)‘เฮ้ยเพื่อน มาจากที่ไหน ?’ ถามกัน
เลยรู้จักกันได้เมื่อต่อได้ยิน-ได้ฟังเสียงกัน
และมันฟังกันได้ แต่ว่าเสาะหากัน-มันไม่เห็น
เมื่อได้ฟังเสียงแล้ว ก็เลยรู้เสียงกันได้-มองเห็นกันได้
ผู้เป็นเทวดาก็เลยบอกว่า‘เราไปเกิดเป็นเทวดาอยู่เมืองสวรรค์’
(หนอน)ก็เลยถาม‘เมืองเทวดา-เมืองสวรรค์นั้น
มีความทุกข์-ความสุขอย่างไร เพื่อนเล่าให้ฟัง
(ถึง)คุณค่าของเมืองสวรรค์บ้าง(ได้)ไหม ?’
ผู้เป็นหนอนถาม ผู้เป็นเทวดาก็เลยเล่าให้ฟัง
‘เมืองสวรรค์-เมืองเทวดานั้น มีของทิพย์-เป็นทิพย์
อยากได้อะไรก็เป็นทิพย์
อยากได้เสื้อได้ผ้า-ก็นึกเอา ก็ไหลมาเลย
อยากได้เงิน-อยากได้(ทอง)คำ นึกแล้วก็ไหลมาเลย
อยากได้บ้านดี ๆ สวย ๆ-งาม ๆ
นึกแล้วก็มีบ้านขึ้นมาสวย ๆ-งาม ๆ เป็นอย่างนั้น
เมืองสวรรค์มีความสุขอย่างนั้น’
ทางผู้เจ้าหนอนนี่ก็คิดว่า‘มีความทุกข์แล้ว’-บัดนี้
แน่! *ความเห็นมันไม่เหมือนกันอย่างนี้แหละ
การกระทำ(จึงไม่เหมือนกัน)*
ชีวิตของคนนั้นก็เหมือนกัน ตายแล้วก็เหมือนกัน
มันความคิดของคนที่ตายแล้ว-มันไม่รู้
(เมื่อ)ไม่รู้ แต่ว่า**เราต้องศึกษาให้รู้
(ตั้ง)แต่เมื่อยังเป็นคนนี่เอง (ให้รู้ว่า)
ความทุกข์มันเป็นอย่างนั้น ความไม่ทุกข์มันเป็นอย่างนั้น**
(ที่พูดกันว่า)‘ตายแล้วก็ค่อยมีความสุข’
อาตมาก็ไม่รู้ มีความสุขหรือไม่มีความสุขก็ยังไม่รู้
เพราะยังไม่ทันตายนี่ อาตมาก็ยังไม่ทันตาย-จะรู้ทำไม ?
รู้ก่อนล่วงหน้าไม่ได้
*การปฏิบัติธรรมจะเป็นการคาดคิดเอาไม่ได้* เป็นอย่างนั้น
บัดนี้ไอ้เจ้าหนอนนี่ก็เลยไม่ไป เทวดาก็เลยถาม
‘เธออยู่นี่ มีความทุกข์หรือความสุข ?’
หนอนตอบ‘มีความสุข ไม่ต้องได้นึก-ได้คิดอะไรกันเลย’
นี่! เพราะความเห็นมันเป็นอย่างนั้น
มีความสุขเพราะว่าไม่ได้นึก-ได้คิด
‘อาหารดี ๆ ทั้งนั้น เขาเอามาถวายให้เลย-ไม่ได้นึก
ต้องการยามใด เอายามนั้นเลย พลิกคิงติงตัว(เคลื่อนไหวตัว)
มีแต่อาหารดี ๆ ทั้งนั้น’ เพราะเป็นอุจจาระ
หนอนกับอุจจาระนี่ (หนอน)มัน(ชอบ)อยู่กับของเน่า-ของเหม็น
เป็นอย่างนั้น
บัดนี้ผู้เป็นเทวดาก็เลยพูด‘อันนี้ไม่ใช่เป็นอาหารนะเพื่อน’
‘เป็นอันใด ?’ (หนอน)ถาม
ให้อาตมาพูดเป็นภาษาบ้านอาตมา‘เป็นอันใด’
‘ขี้-เพื่อน’ (เทวดา)ว่าจังซั่น
‘โอ…อันนี้เป็นขี้ โอ…เป็นจังซี่-อันนั้นเป็นขี้’ ว่าซั่น
‘เป็นของสกปรก’ (เทวดาบอกกับหนอน)
‘เมืองเทวดา-เมืองสวรรค์ มีขี้บ่ ?’ (หนอนถาม)
‘โอ๊ย! เมืองเทวดา-เมืองสวรรค์บ่มีขี้แล้วเพื่อน
มันเป็นของทิพย์ มันจะมีขี้จังใด๋’ (เทวดาตอบ)
‘โอ! ถ้าหากเมืองสวรรค์-ไปเป็นเทวดา บ่มีขี้
เฮาก็ไปนำหมู่บ่ได้แล้ว เพราะเฮากินขี้’
ว่าแล้ว-(หนอน)ก็ดิก(มุด)หัวลงโลด ว่าซั่น
ดิกหัวลงกองขี้นั่น-ก็เท่านั้นเอง ก็เลยจบเรื่องนิทาน
ดังนั้น การทำบุญ-การให้ทาน การรักษาศีลนี่
เช่นเดียวกัน จะไปคาดคิดเอาล่วงหน้าไม่ได้
ดังนั้นคนไม่ทันตาย จะถือว่า
ตายแล้วมีความสุข-ก็ไม่ได้ ตายแล้วมีความทุกข์-ก็ไม่ได้
เหมือนกับเถ้า(ของ)ไม้ดิบกับไม้แห้ง เป็นเถ้าได้เหมือนกัน
ตายแล้วอาจมีความสุขได้เหมือนกัน หรือจะต่างกัน
ยังไงไม่ทราบ เพราะเราไปเลือกคัดจัดหาเอาเถ้านั้น
(ว่า)อันนี้เถ้าไม้แห้ง-อันนี้เถ้าไม้ดิบ เราไม่เห็น-เราไม่รู้
เพราะว่าเมื่อเป็นไม้ดิบกับไม้แห้งที่เรามองเห็นด้วยตา
(เรา)รู้ได้อย่างสบาย ๆ ทุกคนรู้ได้-เป็นอย่างนั้น…”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
————————————————————————————————
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※
※ ※
※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※
※ ※
※ อย่าหลงชีวิต ※
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ
_/|\_ _/|\_ _/|\_

ใส่ความเห็น