รู้สึกกาย รู้สึกใจ 28 กุมภาพันธ์ 2023

หลักของพระพุทธศาสนา – วิธีดับทุกข์แบบของพระพุทธเจ้า (๔/๑๐)

“…เมื่อเรารู้จักเรื่องนามรูปแล้ว

เราจะรู้จักวัตถุ-ปรมัตถ์-อาการ

‘วัตถุ’นี้ หมายถึงทุกสิ่ง-ทุกอย่าง

‘ปรมัตถ์’ ก็คือกำลังเป็นอยู่-มีอยู่-เข้าใจอยู่

สัมผัสได้อยู่ในขณะนั้น

‘อาการ’ ก็หมายถึงความเปลี่ยนแปลง

วัตถุทั้งหลายที่มองเห็นได้ด้วยตา จับถูกด้วยมือนั้น

มันก็เป็นอาการชนิดหนึ่ง

เช่น บ้านเรือนก็มีการผุพัง-เปลี่ยนแปลงได้

บัดนี้ วัตถุอีกชนิดหนึ่งซึ่งมันมีจริง ๆ เห็นจริง ๆ-เข้าใจจริง ๆ

‘วัตถุ’ แปลว่ามีจริง

‘วัตถุ’ หมายถึงของจริงที่มีอยู่-มันมีอยู่ มีอยู่หมดทุกคน

อันนี้ชื่อว่า‘การเขย่าธาตุรู้ของบุคคล’ มีอยู่แล้วทุก ๆ คน

*แต่เมื่อเรายังไม่เห็น นั้นแสดงว่าเรายังไม่เข้าใจ*

**แต่ตามความจริงมันมีอยู่แล้ว

เมื่อเราดูอยู่นี้แหละ เราเห็น

อ้อ! ‘วัตถุ’ หมายถึงตัวจริงของจิตใจหรือว่าชีวิต

‘ปรมัตถ์’ ก็เรากำลังเห็นความเป็นอยู่-มีอยู่นี้แหละ

มันคิดขึ้นมา ‘อ้อ-อาการเปลี่ยนแปลงของมันเป็นอย่างนั้น’

ประเดี๋ยวมันคิดเรื่องนั้นขึ้นมา ประเดี๋ยวมันคิดเรื่องนี้ขึ้นมา

อันนี้เป็นอาการของความคิด

เป็นวัตถุ-เป็นปรมัตถ์-เป็นอาการชนิดหนึ่ง

เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้แหละ

เรียกว่า‘เราเห็นธรรมอีกชนิดหนึ่ง’

การเห็นธรรมชนิดนี้

เพื่อไปปราบ ความโลภ-ความโกรธ-ความหลงให้หมดไป

(เรียกว่า)‘เรารู้จักสมุฏฐานของความคิด’**

*เมื่อเราไม่เห็นอันนี้แหละ ซึ่งก็คือความหลง

‘หลง’แปลว่าไม่เห็น เมื่อไม่เห็น-ก็ไม่เข้าใจ

แล้วมันก็จะเป็นสมุฏฐาน

ทำให้เกิดความโกรธ ทำให้เกิดความโลภขึ้นมา*

**‘มรรค’ ท่านว่า‘เป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์’

ดังนั้น ‘มรรค’ก็คือเราเอาสติมาคอยดูความคิด

นี้เองคือข้อปฏิบัติ

และในขณะเดียวกัน ก็จะทำการ-ทำงานอะไรก็ได้

ปฏิบัติที่ว่า (คือ)คอยดูอยู่นี้**

*ไม่ใช่เอามือปฏิบัติมรรคนะ*

**มือนี้ก็ต้องทำการ-ทำงานไปตามหน้าที่ของเรา

ส่วนใจนั้น เราต้องคอยดูตัวความคิด

จึงว่า ‘มรรคเป็นข้อปฏิบัติเพื่อถึงความดับทุกข์’**

เมื่อเราเห็นสมุฏฐานของมันแล้ว ก็เรียกว่า…

ซึ่งก็ต้องสมมติอีก

เพราะ*คนที่ยังไม่เคยได้ยิน-ได้ฟัง

ไม่เคยรู้-ไม่เคยเห็น-ไม่เคยปฏิบัติ จะไม่รู้เลย*

จึงจำเป็นต้องมาว่าเรื่องสมมติ

หรืออุปมา หรือเปรียบเทียบให้ฟังอีก

สมมติคนที่ไม่เคยเห็นวิธีใช้ไฟฟ้า ไปเปิดไฟฟ้า

เขาก็ไปจับเอาที่ตัวหลอดไฟ แล้วหมุนอยู่อย่างนั้น

หมุนจนตาย หลอดไฟก็ไม่สว่าง

เพราะที่นั่นไม่ใช่สมุฏฐานที่ไฟฟ้าจะสว่างได้

เปรียบก็ว่า

คนลักษณะนั้นเป็น*ผู้ที่ยังไม่รู้สมุฏฐานต้นเหตุของความคิด

เขาจึงคิดว่า‘โทสะ-โมหะ-โลภะมีอยู่เป็นประจำ’*

เขาจึงพูดกันไปอย่างนี้

**ส่วนคนที่รู้จักสมุฏฐานของความคิดแล้ว

เขาก็จะรู้ตามความเป็นจริงว่า โทสะ-โมหะ-โลภะไม่มีเลย**

ดังนี้ ๒ คนนี้(มี)ความเห็นไม่ตรงกันแล้ว

ดังนั้น การสอนธรรมะนั้นจึงไม่เหมือนกัน

ผมจึงพูดว่า

**‘ตัวสมุฏฐานของโทสะ-โมหะ-โลภะ

ไม่มีปรากฏเกิดขึ้นมาได้ เพราะว่าเราเห็น’

ถึงเวลาแล้ว

ที่เราจะไปทำความสว่างให้ตัวชีวิต-จิตใจของเราให้ถูกวิธี**

เหมือนกับการที่จะไปเปิดไฟฟ้า

ไปทำความสว่างให้กับหลอดไฟฟ้าอย่างนั้น

เราไม่ต้องจับหลอดไฟ

ไปกดที่สวิตซ์ไฟ แล้วมันก็ทำความสว่างที่หลอดโน้นเอง

อันนี้ก็เหมือนกัน

**ความจริงแล้ว เราไม่ต้องไปว่ามัน

เจ้าตัวความโกรธ-ความโลภ-ความหลง

เพราะว่ามันไม่มี

เพียงแต่ขอให้เรามีสติเท่านั้น

อันตัวสตินี้ มันมีอยู่แล้ว

มันมีตรงกันข้ามอยู่กับความหลง

ซึ่งความจริงแล้ว ความหลงไม่มี

เมื่อเรามีสติคอยระมัดระวัง-ดูจิตดูใจอยู่ ความหลงก็ไม่มี

เมื่อความหลงไม่มี โทสะจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะมีสติคุมอยู่แล้ว

โลภะจะเกิดมาในรูปใด ?

มาไม่ได้ เพราะปัญญารอบรู้อยู่แล้ว

อันนี้แสดงว่า‘เราเห็นสมุฏฐาน’**

*เราต้องปฏิบัติอย่างนี้

เมื่อปฏิบัติอยู่อย่างนี้

เราต้องคอยดู ดูมันอยู่อย่างนี้แหละ

แล้วมันจะเกิดปัญญาแว้บขึ้นมา

มันจะเกิดความดีใจติดมาด้วย ยังไม่ใช่ใจดีนะตอนนี้

ดีใจ แล้วภูมิใจว่าตัวเองรู้ธรรม-เห็นธรรม-เข้าใจธรรม

อย่างซาบซึ้ง-ปราบความหลงผิดได้แล้ว เป็นอย่างนั้น

เกิดปีติ ปีติอันนี้มันจะมาชักชวน

ให้เราลืมต้นเหตุสมุฏฐานของความคิด

เมื่อไปติดปีติแล้ว-เราลืม อันนี้ชื่อว่าถูกน้อย

เพราะเมื่อมันไปติดปีติ ตัวความสุขนั้นแล้ว

มันจะปราบความหลงไม่ได้

ตัวนี้จึงถือว่า มันยังเป็นการเอาหินทับหญ้าอยู่*…”

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

————————————————————————————————

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※

※ ※

※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※

※ ※

※ อย่าหลงชีวิต ※

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ

_/|\_ _/|\_ _/|\_

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *