“…‘ขันธ์’ ก็หมายถึงตัวเรานี่เอง
คือ รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ
หมายถึงขันธ์ ๕ ได้แก่รูปขันธ์-เวทนาขันธ์-สัญญาขันธ์-สังขารขันธ์-วิญญาณขันธ์
ขันธ์ ๕ ทวนกระแสของความคิด
*ความคิดไม่ใช่เป็นตัว-เป็นตน เขาเรียกว่า‘สังขาร’
‘สังขาร’คือการปรุงแต่ง* **‘วิญญาณ’เป็นตัวรู้**
เมื่อวิญญาณรู้ เราจะทำอย่างไรจึงจะออกจากความคิดได้ ?
เพราะความคิดมันไหลไปเหมือนกับน้ำ มันคิดไม่หยุด
คนคิดมากจึงเป็นโรคประสาท นอนไม่หลับ-ฟุ้งซ่านรำคาญ
**พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีสติ-รู้สึกตัว
ความรู้สึกตัวทำให้ถอนออกจากความคิดได้
เมื่อมารู้สึกรูป เรียกว่า‘รูปขันธ์’
รูปคือตัวเรานี่เอง-มารู้สึกตัวนี้ แล้วมันจะวางความคิด
มันหลุดออกจากกัน มันมารู้สึกตัวนี้**
วิธีที่จะให้มันหยุดคิดได้ เมื่อหนูคิดฟุ้งซ่านขึ้นมา
หนูก็ต้องกำมือแรง ๆ หรือเอามาเคาะศีรษะ
เคาะโป๊กหนึ่ง-มันเจ็บ เพราะจิตมารู้สึกอยู่ที่ความเจ็บ
มันก็เลยหยุดคิด หยุดความคิด…เพราะมาอยู่ที่รูป-คือศีรษะ
หนูก็เขียนหนังสือได้-จดจำอะไรได้ดี เพราะจิตใจของหนูไม่ฟุ้งซ่าน
ถ้าสอบไล่ได้เป็หมอก็ตาม-เป็นพยาบาลก็ตาม ไปดูคนป่วย
เขาไม่สบาย เพราะเขาดิ้นรน
หลวงพ่ออยู่โรงพยาบาลชัยภูมิครั้งหนึ่ง
คนไปโรงพยาบาล-เขาเจ็บ พยาบาลก็ห้ามว่า‘อย่าร้องคุณลุง’
เขาเจ็บมาก-เขาก็ต้องร้อง ร้อง-มันก็ไม่หยุด
เพราะคนไม่รู้จักหยุดความคิดของตัวเอง ดิ้น-ดิ้นจนตกเตียง
พยาบาลก็เอาไว้ไม่ไหว เพราะคนนั้นเป็นผู้ชาย
พยาบาล ๒ คนเอาไว้ไม่ไหว ก็ตกเตียง-เจ็บ ๒ ต่อ
เจ็บมาจากบ้าน-เจ็บหนึ่ง เจ็บเพราะตกเตียงอีก-เจ็บหนึ่ง
หลวงพ่อก็นอนฟังเขา-ดูเขา *อันนี้แหละ-ไม่รู้จักจิตใจตัวเอง*
หนูก็ต้องพูดว่า‘อย่าร้องคุณลุง ดูเข้าไปที่จิตใจของคุณลุง
จิตใจมันไม่ได้เจ็บ คุณลุงไปดูว่ามันเจ็บ-แต่จิตใจมันไม่ได้เจ็บ
อย่าไปห่วงกับรูป รูปเป็นหน้าที่ของหมอ’
และบอกเขาเลยว่า‘หนูจะพยาบาลให้คุณลุง รูปนี่-ลุงรักษาไม่ได้
หรือคุณตา-คุณอารักษาไม่ได้ หนูเรียนมาแล้ว-จะรักษาให้
ส่วนเรื่องจิตใจของคุณลุง-คุณตา-คุณอานั้น หนูรักษาให้ไม่ได้
โรคทางกาย-หนูช่วยรักษาได้’ หนูก็ต้องสอนเขาอย่างนั้น
นั่นเขาบอกแต่ว่า‘อย่าร้องลุง-อย่าร้องลุง’
แต่คนป่วยก็ร้อง เพราะเขาไม่รู้จัก
หลวงพ่อพูดไม่เป็น เพราะหลวงพ่อไม่ได้เป็นหมอ
ถ้าหลวงพ่อเป็นหมอ หลวงพ่อจะชี้แนะเขาว่า
‘ร้องทำไม-ร้องมันก็ไม่หาย โรคทางกายยกให้หมอรักษา’
**เรื่องทางจิตคือความทุกข์ จะเป็นทุกข์ไปทำไม ?
เกิดมาแล้วก็ต้องอยู่ให้เป็น จิตใจมันไม่มีทุกข์**
*แต่ที่ทุกข์ เพราะเราไปยึดถือว่าเป็นตัวตน มันก็ทุกข์ขึ้นมา*
มันมี ๒ ทุกข์นะหนู
ที่หลวงพ่อแนะนำวันนี้ ก็เพื่อให้หนู ๆ ทุกคนเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้า
**พระพุทธเจ้าสอนให้ทุกคนเข้าใจตัวเอง ศึกษาที่ตัวเอง
เมื่อเข้าใจตัวเอง-ศึกษาตัวเองแล้ว ความทุกข์มันไม่มี**
*ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะเราหลงตัว-ลืมตน*
ไปยึดคำพูดของคนนั้น-คนนี้
เราไม่ต้องไปยึดคำพูดของใคร **เราต้องดูจิต-ดูใจของเรา**
**พระพุทธเจ้าตรัสรู้เพราะการทำทางจิต-ทางใจ
เมื่อเราเห็นชีวิตจิตใจของเราแล้ว
การทำ-การพูด-การคิด เราต้องดูจิต-ดูใจของเรา
จิตใจเราโกรธไหม-มันร้อนไหม-มันหลงไหม ?**
แล้วก็ต้องเงียบได้ ถามตัวเองดูบ้าง‘ร้อนทำไม-โกรธทำไม-หลงทำไม ?’
คนที่ไม่รู้สึกตัวเอง-ลืมตัวเอง เมื่อกำลังคิด-กำลังทำ-กำลังพูด
เขาเรียกว่า‘คนไม่มีความละอาย’
บางทีพวกหนู ๆ อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้
คนกำลังทำ-พูด-คิด ไม่มีความละอายในตัว…จะเรียกว่าอะไร ?
ก็เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานนั่นเอง
สัตว์เดรัจฉานมันทำ-พูด-คิดอะไร มันไม่สำนึกตัว-มันไม่มีความละอาย
ส่วนคนไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น
‘คน’กับ‘มนุษย์’ไม่เหมือนกัน คนอาจเป็นสัตว์ก็ได้
คนที่กำลังทำ-กำลังพูด-กำลังคิด ไม่มีความละอายแก่ใจ
นั่นเขาเรียกว่า‘คนลืมตัว-ลืมตน’ จิตใจคล้าย ๆ สัตว์เดรัจฉาน
*ไม่ใช่(ตัว)คนเป็นนะ จิตใจมันเป็น*
ฉะนั้นหนูเป็นนักศึกษา **การทำ-การพูด-การคิด…ต้องรู้จักจิตใจตัวเอง**
เรียกว่า‘เป็นคนมีความละอายใจ’ คืออายใจเรานี่นะ
ไม่ใช่ละอายตัวบุคคล อายใจว่า‘เอ๊ะ-ทำไมมันคิดอย่างนั้น
ทำไมมันอยากโกรธคน ทำไมมันไปอิจฉา-ริษยาเขา ?’
ท่านว่า‘หิริ-มีความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ-มีความเกรงกลัวต่อบาป’
บุคคลใดเป็นอย่างนั้น ท่านว่า‘เป็นสัตบุรุษ-หรือเป็นนักปราชญ์’
หนูก็เป็นสัตบุรุษได้ เป็นนักปราชญ์ก็ได้
พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนั้น เพราะสภาพจิตใจอย่างนั้นมันมีในคน…”
————————————————————————————————
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※
※ ※
※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※
※ ※
※ อย่าหลงชีวิต ※
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ
_/|\_ _/|\_ _/|\_

ใส่ความเห็น