รู้สึกกาย รู้สึกใจ 5 มกราคม 2023

“…เมื่อหลวงพ่อรู้รูป-นาม รู้รูปทำ-นามทำแล้ว…ก็รู้รูปโรค-นามโรค

โรคมันมี ๒ อย่าง (คือ) โรคทางเนื้อหนังนี่ชนิดหนึ่ง

โรคทางจิตใจหรือจิตวิญญาณ นี่ก็อีกชนิดหนึ่ง

โรคทางเนื้อหนังก็คือปวดหัว-ปวดท้อง ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล

เรียกว่า‘รูปโรค’

ส่วน*โรคทางจิตใจ เรียกว่า‘นามโรค’

คือจิตใจมันนึก-มันคิดเป็นทุกข์* **ก็ต้องทำความรู้สึกใจ-ตื่นใจ

มันจะเป็นใหญ่ในใจของมันได้เอง** มันรู้อย่างนี้

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็เข้ามารู้ทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตา

ทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตานั้น พูดได้-จำได้มาตั้งนานแล้ว…แต่ยังไม่เข้าใจ

‘ทุกขัง’ หมายถึงการเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถนั่นแหละเป็นตัวทุกข์

แต่ถ้าเราไปหลับตาไว้ เราก็เลยไม่เห็น-ไม่เห็นว่าตามันทุกข์

ทีนี้เมื่อลืมตาขึ้น…เห็นตามันกะพริบ เหลือบซ้าย-แลขวา

จึงรู้ว่า‘โอ-มันเป็นตัวทุกข์’ เคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็เป็นตัวทุกข์

ทุกขังนี้-มันติดกับตัวรูป แยกจากกันไม่ได้

แยกจากกันเมื่อใด-ตายเมื่อนั้น นี่เรียกว่า‘ทุกขัง’

‘อนิจจัง’ แปลว่าไม่เที่ยง-จะทนทานไม่ได้…เปลี่ยนไปตามอิริยาบถของมัน

‘อนัตตา’-บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะมันเป็นหน้าที่ของมัน

ก็เลยเกิดความเข้าใจอย่างนี้ มันเป็นฌานเข้ามารู้

ความรู้ของฌาน เป็นขั้น-เป็นตอน

มันรู้เป็นลำดับมาตั้งแต่รู้รูป-รู้นาม เป็นลำดับ-ลำดับอย่างนั้น

ที่หลวงพ่อพูดว่า‘ญาณ’ แปลว่าเข้าไปรู้เป็นลำดับ

อย่างที่พูดให้ฟังนี้อาจจะไม่ถูกกับตำรา แต่อาจจะถูกบ้างเป็นบางบท-บางตอน

วานนี้มีฝรั่งชาวอเมริกันกับคนไทยที่เรียนปรัชญามาถาม

ฝรั่งเขาปฏิบัตินั่งหลับตา ก็เลยพยายามพูดให้เขาเข้าใจว่า

อันการหลับตานั้น-มันก็ดีแล้ว จึงได้ให้เขาเอาของมาวางไว้ตรงหน้า

มีนาฬิกาเรือนหนึ่ง-ปากกากับดินสอ-แล้วก็แว่นตามาวางไว้

แล้วให้เขานั่งหลับตา พอเขาหลับตา-หลวงพ่อก็เอาของของเขาย้ายที่ไป

เพื่อนเขาคนที่เรียนปรัชญามานั่น-ก็นั่งดู

พอได้เวลา-ก็บอกให้ฝรั่งลืมตา พอเขาลืมตาขึ้นมา-ก็ให้เขาดู

ว่าของหายไปหรือยัง เขาก็บอกไม่หาย-อยู่ตรงนั้น…ก็แล้วไป

แล้วหลวงพ่อก็เลยพูดอะไร ๆ ไปหลายอย่าง

พูดเรื่องสมมติให้ฟัง สมมตินี่-มันมีหลายอย่าง

สมมติบัญญัติก็มี-ปรมัตถ์บัญญัติก็มี-อัตถบัญญัติก็มี-อริยบัญญัติก็มี

คำว่า‘สมมติ’ ก็บัญญัติกันขึ้นมา

อะไร ๆ ก็ถูกสมมติและบัญญัติขึ้นมาทั้งนั้น

แต่สมมติบางอย่างก็เป็นปรมัตถ์ในตัว-เป็นอัตถะไปในตัว-และเป็นอริยบัญญัติไปในตัว

ขึ้นกับความรู้แจ้งของผู้บัญญัติ หลวงพ่อพูดให้ฟังหลายเรื่อง-เขาก็ยังไม่เข้าใจ

เลยให้เขานั่งอีก นั่งหลับตาตามแบบที่เขาเคยชินมา

แต่ก่อนจะทำ-ให้เขาเอากระเป๋าออกมา ในกระเป๋ามีนาฬิกา-แว่นตา-ปากกา-เงิน

แล้วก็มีสร้อยคอ-มีพระพุทธรูปติดสร้อยคออีกด้วย เอามาวางไว้ข้างหน้า

ถามเขา-คุณเห็นไหม ? เขาก็ตอบ-เห็น

หลวงพ่อก็บอก ‘เอ้า….ทีนี้หลับตาเข้าฌานเสีย’-เขาก็นั่งหลับตา

พอเขาหลับตา ก็บอกกับเพื่อนเขาคนที่เรียนปรัชญา

ให้เอาของไปวางไว้ข้าง ๆ เขา ไม่ให้ฝรั่งเห็น

พอได้เวลา ก็บอกให้ฝรั่งลืมตาขึ้น

(หลวงพ่อถามเขา)-ของหายไปไหน ? (ฝรั่งตอบ)‘ไม่รู้-หายไปไหนไม่รู้’

นี่แหละ อันที่ไม่รู้นี่แหละ-จะถือว่ารู้หรือ ?

**‘รู้-แต่รู้แบบไม่อยากรู้’** พูดให้เขาฟัง-ก็ยังไม่เข้าใจ

เข้าใจเพียงเล็กน้อย เรื่องนั้นมันไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

มันมีอยู่ก่อนแล้ว ก็เลยพูดให้ฟังเรื่องสมถกรรมฐาน

หรือเรื่องให้ทาน-รักษาศีล มันมีมาก่อนแล้ว

พูดให้เขาฟัง-เขาก็ยังไม่เข้าใจ เพราะมันมีตำรา-วางกันไว้แบบนั้นมานาน

พระพุทธเจ้าของเรานั้น เมื่อบวชแล้วก็ไปศึกษากับครูบาอาจารย์หลายท่าน

แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงอาจารย์เพียง ๒ ท่าน คือ

อาฬารดาบสกับอุทกดาบส ๒ อาจารย์นี้

อาจารย์คนแรกสอนให้ได้สมาบัติ ๗ คือ รูปฌาน ๔-อรูปฌาน ๓

เข้าฌาน-ออกฌานได้คล่องแคล่วว่องไวเหมือนอาจารย์ทุกแง่ทุกมุม

ก็ถามอาจารย์ อาจาย์ก็ว่า‘หมดความรู้แล้ว’

ก็เลยลาจากอาจารย์คนนั้น ไปเรียนกับอาจารย์คนที่ ๒

อาจารย์คนที่ ๒ สอนให้ได้สมาบัติ ๘ (คือ)รูปฌาน ๔-อรูปฌาน ๔

เข้าฌาน-ออกฌานได้คล่องแคล่วว่องไวได้เหมือนกับอาจารย์ทุกแง่ทุกมุมเช่นกัน

ก็ยังไม่พอใจ ถามอาจารย์-อาจารย์ก็ว่า‘หมดความรู้แล้ว’

ให้ประกาศความรู้-ความเห็น-ความเข้าใจที่ศึกษาจากเรา

ไปเผยแพร่ให้คนรู้แพร่หลายมากขึ้น

เจ้าชายสิทธัตถะคราวนั้นยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า

แต่ท่านเป็นคนฉลาด-จึงยังไม่พอใจ เห็นว่าทางนี้ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์

ไม่ใช่ทางดับทุกข์ แม้เข้าฌาน-ออกฌานได้ก็ตาม

จึงไม่พอใจแต่เพียงเท่านี้ ก็เลยลาจากมา

เมื่อจากมาแล้ว ก็มาทำทุกขกิริยา…อดข้าว-อดน้ำ ไม่พูด-ไม่คุย

เห็นว่าการกินข้าว-กินน้ำ…มันเป็นกิเลส การพูดคุย-มันเป็นกิเลส

พระองค์ก็เลยไม่เอาอะไรทั้งหมด

ดังนั้น เรื่องกินข้าว-กินน้ำ-ฉันอาหาร-เนื้อปลาอะไรนี่

คนมีปัญญารวมความรู้แล้วจะตีแตกทันที

แม้แต่ข้าว-พระองค์ก็ยังไม่กิน

นับประสาอะไรกับการงดอาหารเฉพาะจำพวกเนื้อ-หรือกินเจเท่านั้น

นี่-เราจะต้องเข้าใจอย่างนี้

คนเรามันต้องหาเหตุ-หาผลจริง ๆ ไม่ใช่จะไม่มีเหตุผล

ที่พูดให้ฟังนี้ เอาความจริงมาพูดให้กันฟัง-ไม่ใช่จะประชดประชันอะไร

เอาความจริงมาเล่าสู่กันฟัง สำหรับผู้มีปัญญา

หนูเรียนหนังสือชั้นไหน ? แน่ะ-ปริญญาแทบทุกคน-มีปัญญาทั้งนั้น

ตัวหลวงพ่อเองยังไม่เคยเรียนหนังสือเลยด้วยซ้ำ

ในขณะที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงทำทุกขกิริยาอยู่นั้น

ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้อุปถัมภ์บำรุงอยู่

ทีนี้มันจะตายแล้ว ไม่กินข้าว-ไม่กินน้ำ ไม่พูด-ไม่คุย

ตามปกติของคน-มันก็ต้องผอมแห้งไป เหลือแต่เอ็น-หนัง-กระดูกรัดรึงกันเอาไว้

เนื้อหนังคงจะแห้งไปหมด ดังที่เราเห็นในรูปภาพ

จึงเห็นว่า‘เอ-ไม่ไหว อย่างนี้คงจะไม่ถูกทางเสียแล้ว

ใครจะทำได้อย่างเรานี้-คงไม่มี’ ก็เลยถอนการกระทำอย่างนั้น-เลิกทำ

หันมากินผลไม้ มะขามป้อมกับหมากส้มมอ(สมอ)นี่

พวกปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็เห็นว่า‘เอ๊-คลายความเพียรเวียนมามักมากเสียแล้ว

คงจะไม่ได้สำเร็จเป็นแน่’ ปุถุชนมันชอบคิดไปตามอุดมการณ์อย่างนั้น

แต่ก็ไม่ได้ตำหนิปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕

คนเรา เมื่อเห็นว่าไม่ถูกตามอุดมการณ์ของตัวเองแล้ว-หาว่าผิดทั้งนั้น

พระองค์นั้นมีความคิดว่าจะแสวงหาธรรมะ เพื่อจะมาตั้งต้นชีวิตใหม่

แต่พวกปัญจวัคคีย์เห็นว่าผิด ก็เลยแยกทางกันไปเลย

ทางนั้นก็ไป ๕ คน-พระองค์ไปคนเดียว นี่แหละความคิดมันนานาจิตตัง-ไม่เหมือนกัน

ทีนี้พระองค์ก็ไปพบกับนางสุชาดากำลังเอาข้าวจะไปบวงสรวงเทวดา

พระองค์ก็เลยได้กินข้าวนั้น ไม่ต้องพูดเรื่องที่ถามนางนะ

เพราะว่าทุกคนคงจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว เคยได้ยินไหม ?

เสร็จแล้วก็เอาขันไปวางลงในแม่น้ำ และมีคำมั่นสัญญากับตัวเอง

หรืออธิษฐานว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์บารมี ‘ถ้าข้าพเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

ฆ่ากิเลสตาย-คลายกิเลสหลุดจริง ๆ แล้ว

เมื่อวางขันใบนี้ลงบนผิวน้ำนี้ ก็ขอให้(ขัน)ใบนี้ไหลทวนกระแสของน้ำขึ้นไปถึงต้นน้ำ

และในทางตรงกันข้าม ถ้าหากจะไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

ก็ให้ไหลไปตามกระแสของน้ำ’ พอวางขันลงปั๊บ-มันก็ไหลทวนกระแสของน้ำขึ้นไปถึงต้นน้ำ

พระองค์ก็เลยขึ้นมาบำเพ็ญทางจิตแต่เพียงอย่างเดียว ท่านเล่ากันมาอย่างนั้น

**ที่จริงแล้ว การทวนกระแสของน้ำก็คือการทวนกระแสของความคิดนั่นเอง**…”

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

————————————————————————————————

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※

※ ※

※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※

※ ※

※ อย่าหลงชีวิต ※

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ

_/|\_ _/|\_ _/|\_

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *