รู้สึกกาย รู้สึกใจ 6 มกราคม 2023

“…‘ศาสนา’ แปลว่าคำสั่งสอนของท่านผู้รู้ สอนเข้าที่ไหน ?

สอนเข้าตา-สอนเข้าหู เพราะตามันมีสำหรับดู-หูมันมีสำหรับฟัง

ตาดูสิ่งที่สมควรและไม่สมควร ดี-ชั่ว

หูฟังสิ่งที่ดีหรือชั่ว หูมันฟังเป็น

ก็เลยเข้าใจตัวศาสนาจริง ๆ ตัวศาสนาที่เป็นตัวปรมัตถ์จริง ๆ

แล้วก็คือตัวคน-คนทุกคนเป็นตัวศาสนา ใครรู้เรื่องอะไร-ก็เอามาสอน

สอนเข้าตา-สอนเข้าหู คนรู้เรื่องไหว้ผี-ก็สอนให้ไหว้ผี

คนรู้เรื่องฤกษ์งามยามดี-ก็สอนเรื่องฤกษ์งามยามดี คนรู้เรื่องรักษาศีล-ก็สอนให้รักษาศีล

ว่าแต่ใครจะมีความรู้เรื่องอะไร ก็เอามาสอนให้เราทำ

ศาสนานั้นสอนให้เราทำดี-ละชั่ว เราก็ทำตามไป…เพราะว่าเราไม่รู้จริง-เราไม่มีที่พึ่ง

**พุทธศาสนา คือ มารู้สึกต่อการเคลื่อน-การไหวในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั่นแหละ

คือ มันรู้สึกในการเคลื่อนไหวของกายและใจ-เป็นญาณเข้ามารู้

รู้สึกที่เนื้อ-ที่ตัว ตื่นตัว…มันจะเป็นใหญ่ในตัวของมันได้เอง

รู้สึกใจ-ตื่นใจ มันจะเปลี่ยนแปลง-เป็นใหญ่ในใจของมันได้เอง

เมื่อมันเปลี่ยนแปลง มันก็เหมือนกับเราหงายของที่คว่ำขึ้นมา

มันก็เห็นว่ามีอะไรอยู่ที่ตรงนั้น

และเหมือนกับเกลียวที่มันขันแน่นอยู่ มันได้คลายออกมา-เราหมุนออกมาได้**

ก็เลยรู้เรื่องบาป-เรื่องบุญ

บาปคืออะไร ? *บาปก็คือการที่เราไขอันนี้ไม่ได้

บาปคือมืด เราไม่ได้หงายของที่มันปกปิดอยู่หรือคว่ำอยู่นี้ขึ้นมา*

บุญคืออะไร ? **บุญก็คือการที่เราคลายเกลียวนี้ออกได้

บุญคือเรามาหงายของที่คว่ำอยู่นี้ขึ้นมา** ให้เข้าใจอย่างนี้

เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ก็รู้สึกได้เอง-ว่านี่แหละคือคำสอนของคนโบราณ

เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะว่ารู้แจ้ง-เห็นจริง…รู้ตามความเป็นจริง

บัดนี้มาพูดกันถึงเรื่องทุกข์ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน

*ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรคนั้น เราพูดได้-แต่ไม่รู้จริง*

ตัวหลวงพ่อนี่เคยไม่รู้จักจริง ๆ วันนั้นเกิดรู้ขึ้นมาในตอนเช้า

‘ทุกข์’ หมายถึงการเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถทีเดียวเป็นตัวทุกข์

ทุกขังไม่ใช่เรื่องปวดแข้ง-ปวดขา

การนั่งนาน ๆ แล้วปวดหลัง-ปวดเอวนั้น ไม่จัดว่าเป็นทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตา

การปฏิบัติธรรมแบบของหลวงพ่อนี้ พอมันปวดขึ้นมา-รู้แล้วเปลี่ยนท่า

ให้เป็นไปตามอิริยาบถของมัน ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ

ไม่ต้องฝืนธรรมชาติ ก็เลยรู้ทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตา…รู้จริง ๆ เรื่องนี้

ถ้านั่งนาน ๆ แล้วปล่อยให้ปวดขา-ปวดหลัง-ปวดเอวนั้น จะรู้อย่างเดียวกันนี้ไหม ?

มันไม่รู้ ปวดอันนั้นมันเป็นทุกขเวทนา…ทุกข์โศกโศกา-ทุกข์ไห้รำพันเฉย ๆ

ทุกข์อันนั้น เด็กน้อยก็รู้-คนทำกรรมฐานก็รู้-คนไม่ทำกรรมฐานก็รู้

ฝืนธรรมชาติ-มันก็ต้องทุกข์ นั่งนาน ๆ มันก็ต้องมีเจ็บ-มีปวด

เราไม่พลิก-ไม่เปลี่ยนให้มันเป็นไปตามอิริยาบถของมัน มันก็ปวดขึ้นมา

อย่างเด็กนี่ หยิกเข้าไป-ก็เจ็บ

เอ้า-อายุเท่าไหร่ (โดนหยิก)เจ็บไหม ? (๑๐ ปีครับ-เจ็บครับ)

แน่ะ-เด็กมันก็รู้ แต่เด็กมันไม่รู้ทุกขัง…คือสภาพมันเคลื่อนไหวนี่ มันไม่รู้

อย่างกะพริบตานี่-ก็เป็นทุกข์ เหลือบซ้าย-แลขวา…ก็เป็นทุกข์

นี่เป็นทุกขัง เพราะมันติดอยู่กับรูป

‘อนิจจัง’ แปลว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน

‘อนัตตา’ ก็บังคับบัญชาไม่ได้

เมื่อกลับเข้ามารู้อันนี้ โอ-นี่เองที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้จักทุกข์

ให้รู้จักที่มาของทุกข์และสมุฏฐานของทุกข์ ทำให้ถึงที่สุดของทุกข์

ก็เลยรู้อย่างนี้ว่า ทุกข์ได้แก่การเคลื่อนไหวกายและใจ

สมุทัยทำให้ทุกข์เกิด ตัวสมุทัยนี้คือตัวคิด

ตัวคิดเขาเรียกว่า‘สังขาร’ รู้-เขาเรียกว่า‘วิญญาณ’

ตัวสังขาร-ตัววิญญาณนี่มารวมกัน มันก็เลยรู้เข้ากันเป็นเรื่อง-เป็นราวไป…นี่คือสมุทัย

เมื่อหลวงพ่อรู้ทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตาแล้ว มันก็เกิดเป็นความดีใจขึ้นมา

ไม่ใช่ใจดีนะ-มันดีใจ ภูมิใจในความรู้ของตัวเองว่าตัวเองรู้ธรรมะ

ก็เลยรู้ออกนอกตัวไป…ไปรู้ผี-รู้เทวดาเข้า คิดอย่างนั้น-คิดอย่างนี้

จะไปสอนคนอย่างนั้น-อย่างนี้ คิดว่าคนนั้น-คนนี้ไม่รู้

คิดว่าทุกคนคงจะไม่รู้เหมือนอย่างที่เรารู้ ตอนนี้แหละเป็นตอนที่วิปัสสนูมันเข้ามา

อันนี้เป็นความรู้ของวิปัสสนู…จำไว้-เข้าใจไหม เคยพบบ้างไหม ?

(เข้าใจครับ-เคยครับ)

อันนี้เป็นความรู้ของวิปัสสนู วิปัสสนูกิเลส ๑๖ ประการ-ตำราเขาก็บอกเอาไว้แล้ว

พอวิปัสสนูเกิดขึ้น มันก็รู้ไปนั่น-รู้ไปนี่…รู้ไปทุกสิ่ง-ทุกอย่างเลยทีเดียว

ตั้งแต่เช้าจรดเย็น มันรู้เรื่องนั้น-เรื่องนี้…แต่ไม่เคยรู้ความคิดเลย

อันนี้ให้เข้าใจ…ความรู้เรื่องรูป-นาม รูปทำ-นามทำ รูปโรค-นามโรค

ทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตา รู้สมมติที่กล่าวมาแล้วนี้

เป็นความรู้ในขั้นแรกสุดซึ่งญาณเข้าไปรู้ ขั้นนี้เป็นปฐมฤกษ์

อย่างสมมติรำวงนี่ รอบปฐมฤกษ์…เขาจะไม่เก็บตังค์-ให้เข้าไปรำฟรี

พอรอบที่ ๒ เขาถึงจะเก็บค่าผ่านประตู

ตอนนี้สำคัญ-ตอนนี้พูดให้ฟังแล้ว บางคนก็จำได้

พอถึงตอนผ่านประตูนี้ ถ้าไม่มีตังค์-เขาก็ไม่ให้เข้าไปรำ

เพราะมันมีค่า-มีราคามาก จะทำให้จิตใจเปลี่ยนจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่ง

แต่การรู้ขั้นปฐมฤกษ์นี่เป็นการเริ่มต้นแรกทีเดียว ที่จะให้เรารู้วิธีปฏิบัติธรรมะที่เรียกว่า‘สากล’

การปฏิบัติธรรมอย่างสากลในขั้นปฐมฤกษ์นี้

**เมื่อรู้แล้ว-ก็ไม่ทุกข์กับสิ่งเหล่านั้น** เช่น ผี-เทวดา-นางธรณี

อะไรต่าง ๆ เครื่องราง-ของขลังอะไร…ก็ไม่กลัวแล้ว

ทีนี้จะพูดถึง*ขั้นต่อมา คือการได้รู้จักความคิดตัวเอง*

ซึ่งก็เปรียบได้กับการเริ่มเสียค่าผ่านประตูเข้าไปรำวง

ตอนนั้นเป็นตอนเย็น มันเหมือนกับมีคนมาผลักตรงสีข้างนี่วูบทีเดียว

เอ๊ะ! ก็หาคน-หาไม่เจอ เดี๋ยว ๆ มันก็คิดขึ้นมาอีกแล้ว

ก็เลยรู้ อื้อ-**มันคิดขึ้นมานั่นเอง…แล้วก็เลยทำเหมือนแมวกับหนู

พอหนูออกมาปุ๊บ แมวมันจับปั๊บ**

เพราะว่าแมวกับหนู มันเป็นของตรงกันข้ามกัน-เป็นปรปักษ์กัน

พอคิดขึ้นมาครั้งที่ ๓ ก็เลยรู้ทันที…โอ-มันคิด

ทีนี้ก็เลย**คอยดูอยู่…ทำความรู้สึกตัว-ตื่นตัว ทำความรู้สึกใจ-ตื่นใจ

การเคลื่อนไหวโดยวิธีใด-ก็ให้มันรู้ก่อน จิตใจมันนึกคิดอะไร-ก็ให้มันรู้ก่อน

มันก็เลยโผล่หน้าขึ้นมาเปิดประตูรับ ความเป็นพระ-มันอยู่ที่ตรงนี้**

ในคราวนั้นหลวงพ่อยังเป็นโยม ยังนุ่งกางเกงอยู่

โอ-ตัวเองก็เป็นพระได้ มันคิดไปบ้า ๆ บอ ๆ

แต่มันก็จริง เพราะว่า**การเปลี่ยนแปลงรูปอันนี้นี่-เปลี่ยนแปลงได้

แต่จิตใจที่รู้แล้ว-เปลี่ยนแปลงแล้ว อันนี้จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้อีกเลย

มันเป็นอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา จึงว่า‘สัจธรรม’

‘สัจจะ’ แปลว่าของจริง-ของแท้ ไม่เปลี่ยนแปลง-ไม่แปรผัน

ถึงจะรู้-ก็มีอยู่อย่างนั้น ไม่รู้-ก็มีอยู่อย่างนั้น

เมื่อรู้-เห็น-เข้าใจมันจริง ๆ แล้ว จิตใจก็เป็นอยู่อย่างนั้น-ไม่เปลี่ยนแปลงอีก

ดังนั้นการเห็น-รู้-เข้าใจอย่างนี้ เขาเรียกว่า‘พุทธะ’**

พระพุทธเจ้าเป็นคนแรกที่รู้-รู้ในประเทศอินเดีย แล้วนำมาสอน…”

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

————————————————————————————————

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※

※ ※

※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※

※ ※

※ อย่าหลงชีวิต ※

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ

_/|\_ _/|\_ _/|\_

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *