“…เราเคยได้ยินไหม
พระพุทธเจ้าจะไปตรัสรู้ กินข้าวนางสุชาดา
แล้วเอาขัน หรือเอาถาดไปอธิษฐานริมแม่น้ำ
แล้วว่า ‘ถ้าหากข้าพเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าวางขัน หรือถาดใบนี้ลงไปแล้วบนผิวน้ำนี้
ให้ถาด หรือขันใบนี้ทวนกระแสของน้ำขึ้นไปถึงต้นน้ำ’ ว่าอย่างนั้น
‘ตรงกันข้าม ถ้าหากข้าพเจ้าจะไม่ได้ตรัสรู้
จะไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า-สู้กิเลสไม่ได้ ให้ว่าปานนั้นแหละ
วางขัน หรือถาดใบนี้ลงไป
แล้วให้มันไหลไปตามกระแสของน้ำได้’
อันนั้น น้ำมันทวนไม่ได้แล้ว
ผู้ใดอยู่ใกล้แม่น้ำใด-ก็ลอง(เอาขัน)ไปวาง ลองดูนะ
ให้ว่าอย่างนี้ ‘ถ้าข้าพเจ้าจะไม่ตายจริง-ว่าอย่างนั้น
(หาก)จะลอกคราบได้
วางขันใบนี้ลงไป-ให้มันไหลไปตามกระแสของน้ำเน้อ
บัดนี้ข้าพเจ้าจะตายจริง ๆ ละ-ว่าอย่างนั้น
(หาก)ลอกคราบไม่ได้ วางขันใบนี้ให้มันทวนกระแสของน้ำ’
วาง(ขัน)ลงไปดู โอ๊ย! มันต้องไหลไปตามกระแสของน้ำแล้ว
*‘น้ำ’ ท่านหมายถึงกิเลส-หมายถึงความคิดฝ่ายต่ำ*
ท่านว่าอย่างนั้น
มันยังทวนได้ ไม่ใช่ปากศักดิ์สิทธิ์ดอก
คนมันตีความหมายเข้าใจลึกเกินไป อย่าไปเข้าใจลึกเกินไป
ที่นำมาเล่าให้ฟังนี้
*‘ทวนกระแสของน้ำ’ หมายถึงทวนกระแสของความคิด’
มันคิดขึ้นมาปุ๊บ-เห็นปั๊บ มันคิดขึ้นมาปุ๊บ-เห็นปั๊บ
มันหยุดเลย-ความคิดมันหยุด มันเลยไม่ไหลไป
มันไม่ถูกสังขารปรุงไป ท่านว่า‘มันไม่มีทุกข์-ความหลงไม่มี’*
*เมื่อความหลงไม่มี-ความโกรธไม่มี
ความหลงไม่มี-ความโลภก็ไม่มี
ต้นเหตุของมันคือความหลง*
ท่านเรียกว่า‘โมหะ’ เป็นภาษาธรรมะ
ภาษาบ้านเราเรียกว่า‘หลง’ ‘หลงลืม’-ว่าอย่างนั้น
ครั้นลืมแล้ว ไม่มีโอกาส
ไม่มีเวลาจะได้พบ-จะได้เห็นความคิดตนเอง
ครั้นหลง-‘โอ๊ย! เมื่อกี้นี้มันหลงคิด’ ยังค่อยยังชั่วหน่อยหนึ่ง
‘หลง’กับ‘ลืม’ จึงว่า‘หนักผิดกัน’
แต่ความเดียวกันนั่นแหละ
เราเอาของไปวางไว้-‘โอ๊ย! หลงที่แล้วเมื่อกี้นี้’ (ยัง)ไปหาพบง่าย
‘โอ๊ย! เอาไปวางแล้วลืม’ ไม่พบแล้วนั่น-นานพบ
บางที่จนตายโน่นน่ะ ไม่เห็นแล้ว-มันลืมแล้ว
คนก็เหมือนกัน บางคนจนตาย-ไม่เคยได้ดูความคิดตนเองสักครั้ง
แน่ะ! มันเป็นอย่างนั้น
ที่นำมาเล่าให้ฟังนี้ ว่าภาษาง่าย ๆ
ไม่ต้องไปศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกก็ได้ เดี๋ยวนี้นี่
พระไตรปิฎกก็พูดเรื่องคนนี่แหละ ไม่ใช่พูดเรื่องอื่น
เกศา-โลมา-นะขา-ทันตา-ตะโจไปนั้นล่ะ
หรือ เนื้อ-หนัง-เอ็น-กระดูกไปนั้นล่ะ
อันนั้นเป็นคำพูด
ตัวจริงมันน้อย ๆ
ท่านจึงว่า-คราวหนึ่งท่านว่า
‘พระพุทธเจ้าพาภิกษุเดินไปในป่า
พระพุทธเจ้าเห็นใบไม้แห้งหล่นลงมาริมทาง
จับเอาใบไม้แห้งกำมือหนึ่งยกขึ้นมา
ถามภิกษุจำนวนที่เดินไปกับพระพุทธเจ้านั้น
ภิกษุทั้งหลาย ใบไม้ในป่ากับใบไม้แห้งในกำมือของเราตถาคตนี่
เมื่อเอาเปรียบเทียบกันแล้ว อันใดจะมาก-น้อยกว่ากัน ?
ภิกษุจำนวนนั้นก็เลยตอบพระพุทธเจ้าว่า
ใบไม้ในป่ามีมากครับ หรือพระเจ้าข้า
ใบไม้ในกำมือพระตถาคตนั่นน้อยที่สุด
ท่านยังบอกไว้ว่า
คำพูด-ความรู้ที่เราเรียน ที่เราประสบการณ์มีมาก
แต่ความรู้จะมาสอนพวกท่านในคราวนี้
น้อยเท่ากับใบไม้ในกำมือของเรานี่’
ท่านสอน*ให้เรามาดูความคิด (นี่)น้อยที่สุด-ย่อเข้าน้อยที่สุด
คนมาดูความคิดแล้ว มันครบทั้งหมดเลย
เพราะต้นเหตุของความทุกข์ มันอยู่กับความคิด
ความไม่รู้ความคิดนั้น มันทุกข์*
รู้คิด-อันหนึ่ง
รู้คิดแล้วเข้าไปในความคิด-อันหนึ่ง
รู้-เห็น-เข้าใจ ถอนตัวออกมาจากความคิด-อันหนึ่ง
รู้ความคิด-อันหนึ่ง
รู้ความคิด ถอนออกจากความคิด-อันหนึ่ง
อันหนึ่ง รู้ความคิด-เข้าไปในความคิด
นี่…มันพูดยาก มันไม่มีตน-มีตัว
ท่านเรียก‘อนัตตาแห่งธรรม’ ท่านว่า‘ทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตา’
อนัตตาเป็นตัวทุกข์ ครั้นพูดแบบนี้น่ะ
ครั้นพูดอีกแบบหนึ่ง นิพพานเป็นอนัตตา
ก็ถูกเหมือนกัน-มันถูกคนละมุม มันถูกคนละแง่-คนละมุม
ต้องรู้จักสมมติบัญญัติ-ปรมัติถ์บัญญัติ
อรรถบัญญัติ-อริยบัญญัติ ให้รู้จักอย่างนั้น
ถ้าไม่รู้จักอย่างนั้นแล้ว มันเต็มที่นะ
ที่นำมาเล่าให้ฟังมื้อนี้ ก็สมควรแล้ว
นิมนต์คุกเข่า แล้วก็กราบกันครับ”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
————————————————————————————————
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※
※ ※
※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※
※ ※
※ อย่าหลงชีวิต ※
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ
_/|\_ _/|\_ _/|\_

ใส่ความเห็น