รู้สึกกาย รู้สึกใจ 5 มีนาคม 2521

“…เมื่อรู้อันนี้แล้ว

(รู้จักหน้าที่คน ทำให้ชีวิตตนไม่มีทุกข์-เป็นพระได้)

จึงว่ามีความสงบ

แต่คนไม่รู้จักความสงบ-แล้วไปหาความสงบ ไม่พูด-ไม่คุย

อ้าว! อันนั้นมันความสงบแบบไม่รู้ หรือสงบแบบไม่อยากสงบ

หลวงพ่อจึงไม่มีคำพูดที่จะพูด มันเหมือนกับที่พูดว่า

‘เห็นความคิด’ กับ ‘เข้าไปในความคิด’

นี่-มันใกล้กันที่สุดเลย สงบนี่-มันก็ใกล้กันที่สุด

สงบแบบไม่สงบ-สงบแบบไม่รู้

โอ้ จะพูดยังไงหนอ-ไปนั่งให้มันสงบ

เวลาออกมาแล้วไปทำงานกับสังคม

(มันยังมี)ดีใจ-เสียใจ คนนั้น-คนนี้ว่าเรา

ไม่ได้ทำงานตามหน้าที่เลย มันแย่งกดอำนาจกันไว้

กดอะไรกันไว้ ?

สมมตินะ มันกด-ไม่อยากให้คนดีเหนือกว่าตัวเอง

ก็เลยว่า‘คนนั้นพูดว่าเรา-คนนี้ว่าเรา’ มันไม่ทำงานตามหน้าที่

เมื่อคนไม่ทำงานตามหน้าที่ของคนแล้ว

ความสับสนวุ่นวาย-ความเดือดร้อนก็เกิดขึ้น

ไม่มีเรื่องอะไร ถ้าทุกคนทำตามหน้าที่

เงินเดือนนั้น ก็ได้เพียงแค่กินเท่านั้นเอง-กินแล้วก็ตาย

ปลูกบ้านหลังใหญ่ ๆ ขึ้นมา เพียงแค่นอนหลับ

บ้านหลังใหญ่ ๆ ก็ตายได้เหมือนกัน

แต่ไม่ใช่บ้านตายนะ (ไว้ใช้)แค่นอนหลับเท่านั้นเอง

หลวงพ่อเข้าใจอย่างนั้น

คนมันเข้าใจผิด

นึกว่าเจ้าของกินมาก ๆ แล้วจะไม่ตาย เข้าใจไปอย่างนั้น

มีเงินมาก ๆ แล้วจะไม่ทุกข์ เข้าใจอย่างนั้น

นั่นแหละเรียกว่า‘คนมันทำตามความคิด’

จึงว่าคนไม่เห็นความคิด

ไม่ได้ทำงานด้วยความรู้ ทำงานด้วยความคิด

*ความคิดนี่ล่ะพาให้เราเดือดร้อน*

จึงว่า ‘ทุกข์ต้องกำหนดรู้ สมุทัยต้องละ

มรรคต้องเจริญ นิโรธทำให้แจ้ง’ เรียกว่าอริยสัจ ๔

พูดกันทุกหนทุกแห่ง-อันนี้ จะว่าทุกหลังคาเรือน-ก็ว่าได้

พูดอย่างนี้ ทุกคนต้องพูดอย่างนี้

ถ้าเคยเข้าวัด-ฟังธรรมล่ะก็ ต้องพูดอย่างนี้

แต่ถ้าไม่เคยเข้าวัด ก็อาจจะไม่รู้นะ

หลวงพ่อว่า ครูบาอาจารย์ต้องเคยพูดให้ฟังแล้ว

ครูบาอาจารย์(ของ)หลวงพ่อเคยพูดให้ฟัง

ตั้งแต่ยังเป็นเณร (แต่)หลวงพ่อไม่รู้

เมื่อหลวงพ่อรู้

อ๋อ-ทุกข์ต้องกำหนดรู้ คือให้มาอยู่กับรูปนี้

สมุทัยต้องละ-อย่าไปอยู่กับสมุทัย

ละมัน-ความคิด อย่าไปอยู่กับความคิด

มรรคต้องเจริญ คือทำความรู้สึกตัวนี้ให้มาก

นิโรธทำให้แจ้ง จะรู้กลไกของความคิด-เมื่อมาอยู่กับรูปนี้

เอาละ บัดนี้หลวงพ่อสรุปว่า

เมื่อมันเห็นความคิด รู้ความคิด

เรื่องโทสะ-โมหะ-โลภะ จางไป-คลายไป

บัดนี้เรื่องกิเลส-ตัณหา-อุปาทาน ก็จางไป-คลายไป

มันเป็นลักษณะนี้

เรื่องความสงบแบบไม่สงบ ก็จางไป-คลายไป

จางไป-คลายไป เป็นตอน ๆ-เป็นพัก ๆ ไปนะ

พูดตามตำราก็เรื่องหนึ่ง พูดตามที่หลวงพ่อรู้-ก็อีกเรื่องหนึ่ง

มันคนละเรื่องกัน แต่เข้ากันได้

แต่มันไม่เข้ากันได้ มันไม่เป็นเนื้อ-เป็นน้ำอันเดียวกัน

แต่ถ้าพูดว่าเป็นเนื้อ-เป็นน้ำอันเดียวกันละก็ *ต้องปฏิบัติเอง

เอาความรู้สึกเท่านั้นเอง จะพาไปถึงที่สุดนะ*

หลวงพ่อเคยพูดว่า เอาเชือกผูกไว้นี่

ตรงนี้ก็ตึง-ตรงนั้นก็ตึง ตัดตรงกลางปั๊บ

เชือกมันจะขาดมาตามเสาทันที เหมือนกับยางที่เราดึง

พอมันขาดจากกัน มันก็ไม่ถึงกัน

พอดีมันไม่ถึงกันแล้ว-มันจะเป็นยังไง ? มันก็ไม่มีทางไปสิ

ไปก็ไม่ได้-มาก็ไม่ได้ มันขาดกันแล้ว

นักบวชเขาพูดกันว่า‘อายตนะ ๑๒

ตาเห็นรูป อย่าให้มันเห็นว่าเป็นรูปสวย-รูปงาม’

มันไม่ได้-*ต้องทำมันขาดเอง ไปถึงที่นั้น-มันจะขาดเอง

คือ ความรู้ความคิดนี่ละ มันจะเป็นเพชร-หรือเป็นดาบ

หรืออะไรก็เถอะ จับปั๊บ-มันจะแตกออกมาเลย*

หลวงพ่อเปรียบความรู้สึกตัว เป็นสินไชยในนิทานทางบ้านหลวงพ่อ

ความคิดเป็นยักษ์ ความรู้สึกตัวฆ่าความคิดคือยักษ์ได้

มันเป็นยักษ์ มันทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน-เพราะความคิดนี่เอง

หลวงพ่อคิดอย่างนั้น ความคิดนี่ล่ะ…มันเป็นผี-เป็นยักษ์-เป็นมาร

ความรู้นี่ เป็นพระมหากษัตริย์ครองเมืองกายนคร

เมืองนี้จะเอาผีมาอยู่ (จะเอา)พระมหากษัตริย์

จะเอาเทวดา หรือพระอริยบุคคลมาอยู่ ?

ถ้าเอาผีมาอยู่ ก็ทำงานอย่างผี

ถ้าเอาเทวดา-พระมหากษัตริย์มาอยู่

ก็ได้ทำงานตามหน้าที่เทวดา-พระมหากษัตริย์

หลวงพ่อเข้าใจว่าคนนี่ล่ะ เป็นเมืองกายนคร-เป็นประเทศหนึ่งจริง ๆ

ดังนั้นจึงว่า

‘ภิกษุ-ภิกษุณี อุบาสก-อุบาสิกาทั้งหลาย

ถ้าหากมีพระธรรมวินัยอยู่

มีผู้ประพฤติดี-ประพฤติชอบตามพระธรรมวินัยอยู่

มรรคผลนิพพานจะไม่ว่างจากโลกนี้’

ไม่ใช่ว่างจากโลกดินฟ้า *จะไม่ว่างจากตัวเรานี้เอง-ถ้าเราปฏิบัติดี*

บัดนี้ *ภิกษุ-ภิกษุณี อุบาสก-อุบาสิกา ฆราวาส-ญาติโยมอยู่โดยชอบ

พระอรหันต์ก็จะไม่ว่างจากโลกนี้*

บัดนี้พระอรหันต์ที่ไหนจะมามองเห็นอย่างนี้ได้ *ก็มองเห็นตัวเรานี่เอง

มันนึก-มันคิด มันเห็น-มันรู้

ความรู้อันนี้ ไม่ใช่ว่ามันจะรู้น้อย ๆ

ความรู้นี้สามารถระงับ-ดับร้อนได้จริง ๆ*

เมื่อถึงจุดนี้ จึงว่าถึงที่สุดของทุกข์

มันก็ขาดออกจากกัน สะบั้นไปเลย

สภาพเสาต้นนี้-เชือกก็ติดอยู่ต้นนี้ เสาต้นนั้น-เชือกก็ติดอยู่ต้นนั้น

จึงว่าสภาพรูปอันนี้ก็จะเข้าสู่สภาพเดิมของมัน

สภาพจิตใจ-ตัวความคิด ก็จะเข้าสู่สภาพเดิมของมัน

เพราะความรู้สึกอันนี้ มันเห็นจริง

ความคิดก็จะเข้าสู่สภาพความคิด

เมื่อความคิดโผล่ออกมา

ความรู้สึกตัวหรือการรู้การเห็นความคิด จะจับปั๊บทันที

เหมือนแมวกับหนู มันไม่มีอะไรเลย

*มันคิดปุ๊บ เห็น-รู้เลย…ความคิดก็เลยปรุงแต่งไม่ออก

คนก็หมดทุกข์เท่านั้นเอง

แต่คนยังกินข้าวได้ ทำการ-ทำงานได้ตามหน้าที่ของเราได้

แต่ว่าไม่ทำให้ผิด*…”

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

————————————————————————————————

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※

※ ※

※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※

※ ※

※ อย่าหลงชีวิต ※

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ

_/|\_ _/|\_ _/|\_

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *