“…เขาพูดเอาในตำรา หลวงพ่อก็ได้อ่านตำราเป็นบางบท-บางตอน
เขาว่าอย่างนี้ตามหนังสือว่า ‘พระโสดาบันนี่-ไม่ไปตกนรก
แต่มีครอบครัวตามประเพณีโลก มีความสุขโลกียะ-มีความสุขโลกุตตระ’
โลกียะเรื่องอะไร ? โลกียะก็ต้องมีเงินสิ
มีทรัพย์-เรียกว่าทรัพย์ภายใน ไม่ใช่ทรัพย์อย่างหลวงพ่อว่า
มีเงินสักหมื่นล้าน-พันล้าน เป็นทุกข์
จะเป็นพระโสดาบันได้ยังไง ? พระโสดาบันนี่มีเงินนะ
จึงว่า พระแปลว่าผู้มีทรัพย์ ทรัพย์ภายในนี่แหละ
แล้วเงินได้มา ก็นำไปใช้แต่สิ่งที่มีประโยชน์-มีความสุข
มีลูก มีผัว-มีเมีย…อยู่ด้วยกันด้วยธรรม
เพราะ*พระโสดาบันนี่ เรื่องธรรมะนั้น-มันเรื่องไม่ทุกข์*
เรื่องความสุขนี่คือมีเงิน ไปไหน-มาไหนก็มีรสโลกียสุข
หมายถึง มีทรัพย์ มีรถ มีผัว-มีเมีย
ให้ว่ามีครบแล้วไม่ทุกข์ เขาว่าอย่างนี้
ส่วน*จิตใจนั้น มันร่าเริง-เบิกบาน* คือว่าไม่เพลีย-(ไม่)เมื่อย
อย่างหลวงพ่อนี้ ถ้าได้พูดธรรมะแล้ว-มันสนุก
ความสุขโลกุตตระ-เขาว่าอันนี้ มันไม่มีเรื่องอะไร-ถ้าเรารู้จัก
อันนี้เขาว่า พระโสดาบัน-พระสกิทาคา(มี)
พระอนาคา(มี)-พระอรหันต์ขึ้นไป มันเป็นขั้น-เป็นตอนไป
จึงว่าเราไม่รู้จัก ไปเชื่อแต่ตำรา-พูดแต่ตำรา…เหมือนคนกินข้าวเปลือก
เอาข้าวเปลือกไปหว่านเป็นกล้า-เป็นฟาง
เป็นข้าว-เป็นข้าวเปลือก เป็นข้าวสาร-ข้าวสุก
บัดนี้กินข้าวเปลือก-ก็กินไม่ได้ เราต้องรู้จัก-ตำรานี่
อ้อ-กินข้าวเปลือกไม่ได้ เอาไปทำยังไง ?
ฟางกินไม่ได้ เอาให้ควายกิน
ข้าวเปลือกเอาให้ใครกิน ? ให้หมู-ให้ไก่
ข้าวสารให้ใครกิน ? ให้มดกิน
*คนกินข้าวสุก* กินข้าวสุก…ไม่มีพิษ-มีภัย
จึงไปตรงกับที่หมอเอาหนังสือเว่ยหล่างมาอ่านให้หลวงพ่อฟังว่า
‘ให้ทาน-รักษาศีล ทำมาทุกสิ่ง-ทุกอย่างแล้ว…เป็นกุศลไหม ?
ไม่เป็นกุศลแต่อย่างใดเลย’
โอ้ หนังสืออันนั้นตอบปัญหาอย่างกล้าหาญจริง ๆ
อันนี้ก็เหมือนกัน
*ถ้ามีทุกข์ มีเงินสักหมื่นล้าน-จะมีประโยชน์อะไร ?
สู้สุนัขนอนอยู่ก็ไม่ได้*
เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนั้น
*ปัญหาทั้งหมด มาแก้แต่ทุกข์เท่านั้น
เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว(สภาพรูป-สภาพจิตใจเข้าสู่สภาพเดิม) คนไม่มีทุกข์*
ใครเขาจะว่าเราทุกข์ ก็เป็นเรื่องของเขาพูด
*ชีวิตมันไม่เคยพูด มันทุกข์ด้วยความคิดต่างหาก
คิดแล้ว-คิดอีก ทุกข์
หยุดความคิดสักพักเดียว ทุกข์ก็หมดเลย
หยุดความคิดน้อย ทุกข์ก็หมดน้อย
หยุดความคิดได้มาก ทุกข์ก็เลยหมดมาก
หยุดความคิดได้อย่างสิ้นเชิง ก็เลย(หมดทุกข์)สิ้นเชิง*
มีเรื่องหนึ่งว่า วิธีที่จะทำให้หยุดความคิดนี่ซิ-มันต้องมีวิธี
พูดกันตรง ๆ นะ หลวงพ่อทำ(อันอื่น)มา
ตั้งแต่อายุ ๑๐ กว่าปี ถึงอายุ ๔๐ กว่าปี
มาทำอันนี้แล้ว รับศีลก็ได้-ไม่รับศีลก็ได้
ทำทานก็ได้-ไม่ทำทานก็ได้ ทำกรรมฐานก็ได้-ไม่ทำก็ได้
มันไม่เกี่ยวข้องทั้งหมด
มันเกี่ยวข้องก็แต่*ความรู้สึกตัว*เท่านั้นเอง
ความรู้สึกตัวนี้ มันไม่เกี่ยวข้องกับอะไรทั้งหมดเลย
ความรู้สึกตัวนี่ว่า *ทุกข์ต้องกำหนดรู้-คือรู้สึกตัว*
ครั้นมันไม่รู้ มันจะรู้สึกตัวได้ไง ?
เราเกิดมานี่…(กะ)พริบตาดู กลืนน้ำลาย เหลือบซ้าย-แลขวา
จิตใจมันคิด-เราไม่รู้ มันก็เป็นอย่างนั้น
เขาจึงว่า ธรรมะนั้น-พระพุทธเจ้าแสวงหาเป็นคนแรกสุด
อันที่มันสุดทุกข์นี่ เขาก็แสวงหากันมาอยู่แล้ว
เรื่องนิพพานนี้ มันมีมาก่อนพระพุทธเจ้าอีก
บัดนี้พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมายุคแรก แล้วก็แผ่กระจายขึ้นมา
คนก็ได้รู้ธรรมะ แก้ปัญหาเรื่องทุกข์ได้
ต่อมาพระพุทธเจ้าตายไปแล้ว
คนใดค้นพบ ก็ต่อกันมาเรื่อย ๆ นี่แหละ
แล้วมันหมดยุค-หมดสมัยไป ก็เพราะคนมันขี้คร้าน
เห็นว่าธรรมะไม่เป็นความสุข เห็นว่าเงินเป็นความสุข
เห็นเสื้อ-เห็นผ้าเป็นความสุข มันเป็นอย่างนั้น
ท้ายที่สุดนี้ ผมหรืออาตมาขออ้างอิงเอาคุณของพระพุทธเจ้า
และพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และคุณของพระอรหันตสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มาเตือนจิตสะกิดใจของพวกเรา
*ให้พวกเราได้เห็นแจ้ง-รู้จริง ตามความเป็นจริง
ซึ่งชีวิตของเราที่ไม่เคยว่าทุกข์ ไม่เคยว่าสุขนั้น
ให้เราได้ประสบพบเห็นเอา ในชีวิตนี้*
หรือในกาลอันใกล้นี้ จงทุก ๆ คนเทอญ.”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
————————————————————————————————
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※
※ ※
※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※
※ ※
※ อย่าหลงชีวิต ※
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ
_/|\_ _/|\_ _/|\_

ใส่ความเห็น