“…หลวงพ่อชอบพูดเรื่องของตัวเอง ไม่ชอบพูดเรื่องของผู้อื่น
เพราะเรื่องของคนอื่นนั้น หลวงพ่อไม่รู้
รู้เฉพาะเรื่องของตัวเอง
ท่านจึงว่า ‘สันทิฏฐิโก-อันผู้รู้จะพึงเห็นเอง
อะกาลิโก-ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา’
*จะรู้เอง-เห็นเอง กล้าทำถูก-พูดถูก-คิดถูก*
พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า
‘เมื่อก่อนพระองค์ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจที่สุดแห่งทุกข์
แต่เมื่อท่านรู้วิธีบำบัดทุกข์ได้แล้ว ท่านก็นำมาสอนพวกเรา’
ถ้าเราปฏิบัติอย่างท่าน-เห็นอย่างท่าน-เข้าใจอย่างท่าน
จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้
*ขณะนี้เราปฏิบัติเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าแล้วหรือยัง ?*
หลวงพ่อเข้าใจว่า
เราจะปฏิบัติคล้าย ๆ เท่านั้นเอง
แต่อาจจะไม่เหมือน หรือไม่ใกล้เคียงเลยก็ได้
พูดอย่างนี้ คนฟังไม่เป็น-จะตกใจมาก
หรืออาจจะกล่าวหาว่า ‘หลวงพ่อเป็นมิจฉาทิฏฐิ-ก็เป็นได้’
จะว่าหลวงพ่อเป็นอะไร-ได้หมด
เพราะหลวงพ่อเชื่อพระพุทธเจ้าอย่างนี้
แม้การให้ทาน-รักษาศีล
ทำกรรมฐาน-เจริญวิปัสสนาอะไรก็ตาม
จุดหมายปลายทางที่สำคัญนั้น
**พระพุทธเจ้าสอนให้ดับทุกข์ของเรา**
ครั้งหนึ่งหลวงพ่อเคยไปเทศน์ที่จังหวัดบุรีรัมย์
คนไปทอดกฐินอย่างน้อยที่สุด สี่-ห้าร้อยคน
(หลวงพ่อ)ถามเขาว่า ‘เขามาที่นี่-ต้องการอะไร ?
(ต้องการ)บุญใช่ไหม?’
ก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ต้องการบุญ’
(ถามเขาว่า) ‘ต้องการสวรรค์ใช่ไหม ?’
ก็ตอบเหมือนกันว่า ‘ต้องการสวรรค์’
(ถามเขาว่า) ‘ต้องการนิพพานใช่ไหม ?’
ก็ตอบเหมือนกันว่า ‘ต้องการนิพพาน’
หลวงพ่อจึงถามต่อไปว่า ‘มีใครต้องการตายเดี๋ยวนี้บ้าง ?’
คำตอบก็คือ ‘ไม่มีใครต้องการตายสักคน’
นี่แสดงว่าเราไม่ได้ใช้สติปัญญาพิจารณาให้เห็นจริง
คนเกิดมาแล้วไม่ตายมีกี่คน กี่ชาติ-กี่ภาษา ?
แม้พระพุทธเจ้าเอง-พระอรหันต์เอง ก็ต้องตายเช่นเดียวกัน
ดังนั้นการที่เราเข้าใจผิด จึงเป็นการกินกระดูก-ไม่ได้กินเนื้อ
สิ่งที่เราแอบ ๆ แฝง ๆ ไป ได้ความสงบเล็กน้อยนั้น
มันเป็นแค่ไปกินเอ็น มันไม่มีรส
ดังนั้น ‘ตัวเรามาปฏิบัติธรรม เพื่อมากินอาหารที่เป็นเนื้อ’
หลวงพ่อไปผ่าตัดมา
คุณชาร์ลส์มาเล่าให้ฟังอยู่ทุกวันว่า
‘ถ้าจะกินแต่อาหารไม่มีโปรตีน หลวงพ่อก็จะซูบผอมไป’
(หลวงพ่อ)ก็เลยได้รู้จัก แล้วเอามาเปรียบเทียบให้ฟังอย่างนี้
ความเกลียด-ความชังกัน
(คนเรา)ยังมีเป็นบางครั้ง-บางคราว
คนจะรักกันขนาดใดก็ตาม
จะมีเงินมีทอง เป็นเพื่อนเป็นฝูงกัน
จะเกิดพร้อมกันก็ตาม
ไปไหน-มาไหน คิดถึงกันที่สุดก็ตาม
ถ้าขาดจากคุณธรรมแล้ว
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ต้องอิจฉาริษยากัน
เบียดเบียนกันขึ้นมา แน่นอนที่สุด
ด้วยเหตุนี้จึงว่า ‘ความรักกัน-อาลัยอาวรณ์กัน
แต่ไม่มีคุณธรรม จะไม่มีความมั่นคงถาวร’
หลวงพ่อมาเข้าใจเรื่องนี้เมื่ออายุ ๔๖ ปี
และซาบซึ้งตรึงใจมาจนถึงบัดนี้
ได้พูดที่ไหน หลวงพ่อก็พูดแต่เรื่องนี้
เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
*พระพุทธเจ้าท่านกลัวเกิด
ท่านไม่อยากมาเกิด เพราะท่านกลัวตาย
คนเราเมื่อไม่ต้องเกิด ก็ไม่ต้องตาย
แต่คนเราทุกวันนี้มีแต่อยากมาเกิด แต่ไม่อยากมาตาย
อย่างนี้จะถือว่าเราเป็นชาวพุทธได้อย่างไร ?
เราเป็นญาติพระพุทธเจ้าแล้วหรือ ?
เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแล้วหรือ ?*
อันนี้เราน่าเอาไปพิจารณาดู
*การที่พวกเรามาเจริญสติ-เจริญสมาธิ-เจริญปัญญา
หรือเจริญวิปัสสนา ก็เพื่อให้รู้แจ้ง-รู้จริง
รู้แล้วต่างเก่า-ล่วงภาวะเดิม*
ต่างอย่างไร ?
ทุกวันนี้เราล่วงจากภาวะอะไรแล้ว เรารู้จักไหม ?
ถ้าเรายังไม่รู้
นั่นชื่อว่าเรายังไม่ได้บูชาพระพุทธเจ้า
ชื่อว่าเรายังไม่ได้ทานธรรม
*ถ้าหากเรารู้จริงแล้ว ต้องรับรองคำพูดของเราได้*
หากหลวงพ่อพูดผิดไปจากคนอื่น
เราก็ต้องยอมรับว่าพูดผิด(จากคนอื่น)จริง ๆ
พระพุทธเจ้านั้นไม่ได้สอนให้คนเกิด
สอนให้คนไม่มาเกิด
ถ้าพูดง่าย ๆ อย่างที่หลวงพ่อเคยพูด(ก็ว่า)
‘พระพุทธเจ้าฆ่าคนให้ตายทั้งโลก’
(พูดอย่างนี้)เขาหาว่า ‘พูดผิดแล้ว
พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีเมตตาสูงสุด’
ก็ถูกเฉพาะผู้นั้น
แต่หลวงพ่ออายุได้ ๔๖ ปี หลวงพ่อรู้จักเรื่องนี้-รู้จักจริง ๆ
พระพุทธเจ้าสอนวิธีฆ่าคนโดยปัญญา
จะว่า‘ฆ่าคนก็ได้’ จะว่า‘ฆ่ากิเลสก็ได้’
หรือจะว่าฆ่าอะไรก็ได้ที่ไม่มีตัวตน
*ถ้ามีตัวตนแล้ว มันสับสนวุ่นวาย
จึงให้มีแต่พระล้วน ๆ*…”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
————————————————————————————————
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※
※ ※
※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※
※ ※
※ อย่าหลงชีวิต ※
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ
_/|\_ _/|\_ _/|\_

ใส่ความเห็น