รู้สึกกาย รู้สึกใจ 29 มิถุนายน 2023

“…เรื่องทางพระพุทธศาสนานี้ มันเป็น(สิ่ง)ที่มองไม่เห็น

จึงว่าเป็นกรรม คือการกระทำ

แต่เรื่องอดีต-อนาคตนั้น พระพุทธเจ้าบอกว่า

**‘อดีตที่ผ่านไปแล้ว จะแก้ไขก็ไม่ได้

อนาคตที่ยังไม่มาถึง ก็แก้ไขไม่ได้

ต้องแก้ไขปัจจุบัน คือการกระทำนี่เอง’**

ดังนั้นอาตมาจึงสำนึกได้ เมื่อไปทำกรรมฐานนี่เอง

แต่ก่อนก็ไม่รู้ (คิดว่า)กรรมนั้นเรียกว่า‘ตายแล้ว

ไปตกนรก-ถ้าทำกรรมชั่ว เป็นอย่างนั้น

ถ้าทำกรรมดี-ตายแล้วไปขึ้นสวรรค์’ เป็นอย่างนั้น

แต่สวรรค์ก็ไม่รู้ นรกก็ไม่รู้

ดังนั้นจึงว่า**ควรศึกษาให้รู้-ให้เข้าใจจริง ๆ**

*ถ้าไม่รู้-ไม่เข้าใจแล้ว จะไปถามใครที่ไหน

จะศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกจนจบ ก็ยังมีข้อสงสัยอยู่นั่นเอง*

อันนี้ได้ยินพ่อแม่ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง

จะเท็จจริงแค่ไหน-ไม่ทราบ เรียกว่า‘มีพระตุจโฉโปฏฐิละ

เรียนพระไตรปิฎกจนจบ แตกฉานในพระไตรปิฎก

แม้จะไปเทศน์ ไป(แสดง)ธรรมที่ไหน

คนได้ยินชื่อว่าพระตุจโฉโปฏฐิละ (ก็)ไป(ฟัง)แล้ว

แม้พระตุจโฉโปฏฐิละพูดผิด-ก็ต้องฟัง พูดถูก-ก็ต้องฟัง

เพราะกลัวอำนาจ-กลัวความรู้ กลัวความเข้าใจ

(กลัว)จะโต้ตอบไม่ได้ เอาชนะไม่ได้

เพราะท่านมีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก’ ว่าอย่างนั้น

อันนี้แหละจึงว่า‘เราจะไปเชื่อคนไม่ได้’

เดี๋ยวนี้คนใดพูดดี-เพราะดี คนชอบ…พูดอย่างนั้น

ดังนั้นพระตุจโฉโปฏฐิละ ก็ได้ยินชื่อเสียงปรากฏขึ้นในยุคนั้น

แต่อาตมาไม่เห็น เพียงครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง-เรื่องนี้

‘(พระตุจโฉโปฏฐิละ)อยากไปโต้ตอบกับพระพุทธเจ้า

อยากไปสนทนากับพระพุทธเจ้า’ ว่าอย่างนั้น

อยากไปถามพระพุทธเจ้า ว่ายังไงก็ได้

‘พอดีไปถึง(ที่ประทับ)พระพุทธเจ้า ก็เลยไปกราบ

ไปกราบพระพุทธเจ้า ยังไม่ทันได้ถามอะไรล่ะ’

กราบอย่างที่เราทำกันอย่างทุกวันนี้ เป็นสมบัติของผู้ดี

ขนบธรรมเนียมของผู้ดี เคารพนับถือกัน-ก็กราบ

‘พอดีในขณะที่กราบลงนั้น พระพุทธเจ้าก็ว่า

มาแล้วหรือใบลานเปล่า’ หรือคัมภีร์เปล่าอย่างนี้

เรียกว่า‘คัมภีร์ไม่มีตัวหนังสือ ใบลานไม่มีตัวหนังสือ’

จะพูดอย่างนั้นก็ได้

เพราะว่าพระตุจโฉโปติฏฐิละแตกฉานในคำพูด

แล้วก็แตกฉานในทางปัญญา

พระพุทธเจ้าก็เลยพูดอย่างนั้น ‘มาแล้วหรือ’

กำลังกราบอยู่ ‘ใบลานเปล่า-คัมภีร์เปล่า’ ว่าอย่างนั้น

‘พอดีกราบเสร็จแล้ว ก็ไม่กล้าโต้ตอบอะไร

ก็เลยทักทายกันเป็นธรรมดา ๆ นี้เอง’

นี่ ความคิดมันเหนือกันอย่างนี้

แต่ว่า‘พระตุจโฉโปฏฐิละนั้น ก็เป็นผู้มีลูกศิษย์-ลูกหา

ตามครูบาอาจารย์ว่า ลูกศิษย์-ลูกหาเป็นพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก

เป็นพระอนาคามีก็เป็นจำนวนมาก เป็นอย่างนั้น

แต่ว่า(ตัวท่านเอง)ยังไม่สว่าง ยังไม่เข้าใจในทางพุทธศาสนาจริง ๆ’

จึงว่า*ศาสนาจึงมีมาก ความเห็น-ความเข้าใจมันจึงไม่เหมือนกัน*

‘เมื่อเป็นเช่นนั้น (ก็)รมกัน(สนทนา)-คุยกัน-ทักทายกันหลายเรื่อง

แล้วก็ได้เวลาพอดีที่จะกลับบ้าน-กลับวัด

กลับสำนักตัวเองนั่นแหละ ก็เลยกราบพระพุทธเจ้าอีก

จะลาพระพุทธเจ้านั่นแหละ ลากลับวัด-กลับสถานที่นั่นแหละ

กำลังกราบอยู่นั่นแหละ พระพุทธเจ้าก็เลยทักขึ้นว่า

จะกลับแล้วหรือใบลานเปล่า-คัมภีร์เปล่า ว่าอย่างนั้น

แน่ะ จะกลับบ้านก็ว่าคัมภีร์เปล่า-ใบลานเปล่า

เมื่อไปกราบก็ว่าคัมภีร์เปล่า-ใบลานเปล่า

พรุตุจโฉโปฏฐิละนั้นก็เลย(คิดว่า) เป็นยังไง ?

เมื่อไปกราบก็ว่าใบลานเปล่า-คัมภีร์เปล่า

เมื่อเรากราบจะกลับบ้าน ก็ว่าใบลานเปล่า-คัมภีร์เปล่า

ก็เลยมาถึงวัด ก็เลยมาถามลูกศิษย์-ลูกหา

อยากฝึกหัดเรื่องการเจริญสติ-เจริญสมาธิ-เจริญปัญญา

พูดง่าย ๆ ก็ว่า อยากศึกษาให้รู้แจ้ง-เห็นจริง

เรื่องมรรคผลนิพพานนี่เอง ก็เลยถามลูกศิษย์-ลูกหาหลายคน

เป็นร้อย-เป็นพันพู้นซี่ เพราะลูกศิษย์-ลูกหา(เป็น)ผู้มีเกียรติ

มีชื่อ-มีเสียง แล้วก็เลยถาม-ถามไปตั้งแต่องค์ที่รองท่านไปนั่นแหละ

(ลูกศิษย์ตอบกับว่า)ไม่สามารถที่จะสอนครูบาอาจารย์ได้

แน่ะ! เป็นอย่างนั้นแหละ ก็เลยไม่สอน ถามไป-ถามไปจนหมดเลย

ถามไปจนถึงสามเณรน้อยองค์สุดท้าย ให้สอนกรรมฐานให้

แต่ว่า(ท่านเอง)เรียนจนจบแล้ว ก็ยังไม่รู้(จัก)ว่ากรรมฐาน

เรียนแตกฉานแล้ว-สอนคนอื่นพอแล้ว แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจ

เมื่อไปถามเณร-เณรก็เลยบอกว่า ถ้าครูบาอาจารย์จะให้ผมสอนนั้น

ต้องเชื่อฟังคำพูด-คำสอนผมทั้งหมด

ผมบอก-ผมสอนยังไง ครูบาอาจารย์ต้องทำ

เมื่อครูบาอาจารย์สามารถที่จะทำตามคำพูด-คำสอนขอผม

ผมจะสอน-ผมจะแนะนำให้ วิธีทำกรรมฐาน

อาจารย์ก็เลยรับสารภาพ(รับคำเณร)

ก็เลยได้ไปศึกษากับเณรน้อยนั้นเอง

ดังนั้นเมื่อศึกษากับเณรน้อยนั้น เณรน้อยก็สอนให้’

แต่ในประเทศอินเดียพู่น อาตมาไม่รู้-จะเป็นยังไงไม่รู้

แต่เพียงพ่อแม่ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง

ปู่ทวด-ย่าทวดเล่าตาม ๆ กันมาอย่างนั่นแหละ

ก็เลยจำได้เป็นบางบท-บางตอน เป็นอย่างนั้น

‘ก็เลย-เณรก็เลยสอนให้ สอนให้-ก็ต้องคลุมเสื้อ-คลุมผ้าอะไรต่าง ๆ

ต้องเตรียมตัวให้เรียบร้อยนั่นแหละ-ไปหาเณร

เณรก็เลยบอกให้ลงน้ำ

ดูท่าว่าสำนักนั้นอาจจะมีน้ำ-มีสระ มีอะไรต่าง ๆ นั่นแหละ

อาจารย์ลงไป-ลงไป(ใน)น้ำนี่ (เณรบอก)

อาจารย์ก็ต้องลงไป

ลงไปถึงน้ำแล้ว ผ้ามันจะชุบน้ำ-มันจะเปียกน้ำ

อาจารย์ก็จะฮื้อ(รั้ง)ผ้าขึ้น เณรก็บอกไม่ต้องฮื้อ-ไม่ต้องยกขึ้นไป ลงไป

ผ้าก็เลยเปียกไป ลงไปเพียงหัวเข่า-ผ้าก็เปียกแล้ว

พอหรือยังเณร ? (อาจารย์ถาม)

ยังไม่พอ-ลงไป (เณรบอก)

ลงไป ธรรมดามันเปียกขึ้นมาเพียงขา-เพียงเอว-เพียงนี้แหละ

พอแล้วหรือเณร ?(-อาจารย์ถาม) ไม่พอ ลงไป(-เณรบอก)

ลงไปก็ถาม น้ำเพียงคอ-เพียงอกเข้ามาแล้ว

มันก็-หายใจพูด พอแล้วหรือเณร ?

ยังไม่พอ-ลงไป (เณรบอก)

ลงไปจนเปียกหมด น้ำจนเปียกหมด-เสื้อผ้าเปียกหมด

ให้ว่าเปียกหมดตัวนั่นแหละ แต่อาตมาไม่เห็น

เปียกหมดแล้ว(ก็ถาม) พอแล้วหรือเณร ?

เณรก็บอก พอแล้ว-กลับขึ้นมาได้…เณรสั่งให้กลับคืนมา’

พอดีคืนมาแล้วก็ถามเณร ตอนนี้ก็เป็นน่าคิดว่าจะถามความ

(ทั้งที่)ผ้าเปียกอยู่นั้น-ก็ไม่ทราบ หรือว่าผลัดเสื้อ-ผลัดผ้า

หรือว่าถ่ายเสื้อ-ถ่ายผ้า ว่ายังไงก็ได้

แห้งแล้ว-นุ่งเสื้อใหม่-ผ้าใหม่ คลุมเสื้อ-คลุมผ้าอย่างเรียบร้อยแล้ว

จึงจะถาม อาตมาก็ไม่ทราบตอนนี้

เพราะว่าเพียงเล่าเป็นเรื่อง-เป็นราวให้ฟัง เท่านั้นเอง

‘ถามเณร เอ้าเณร-สอนกรรมฐานให้…เณรก็เลยสอนให้’

การสอน ก็ต้องสอนด้วยปัญหา-แน่ะ!

คนที่มีปัญญา-เป็นอย่างนี้ สอนบัดนี้

‘อาจารย์มีจูมโพน(จอมปลวก)จูมหนึ่ง แล้วมีรูอยู่ ๖ รู

แล้วมีเหี้ยอยู่ในจูมโพนนั้นตัวหนึ่ง

แล้วจะจับเหี้ยนั้นได้ยังไง จะเอาเหี้ยโดยวิธีใด ?

อาจารย์เป็นผู้แตกฉานในการเรียนแล้ว

เคยพูด-เคยสอนมาแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจ

ก็เลยเกิดความคิด-ความเห็น เพราะเคยสอนคนนี่-ก็ต้องมีปัญญามาก

มันจะยากอะไรเณร เราจะขุดทั้ง ๖ รูก็ได้

อาจจะเสียเวลา-มันจะอยู่รูใดไม่รู้ เราต้องอุดเสีย ๕ รู

อุดหรือว่าอัด บ้านหลวงพ่อเรียกว่าอัด-อัดแน่น ๆ

ดันเข้าไป ๕ รู้ เหี้ยมันออกมาไม่ได้-เพราะดันไว้แล้ว

เพราะดันไว้แล้ว จง(เหลือ)ไว้รูเดียว

บัดนี้เราก็ไม่ต้องขุด ไม่ต้องให้มันลำบาก

เอาค้อนหรือเอามีด-เอาพร้า เอาอะไรไปนั่งรอคอยอยู่ปากรู

รูที่ไม่อัดนั่นแหละ แล้วเหี้ยมันหายใจไม่ได้

มันต้องออกมาหายใจข้างนอก เพราะมันอบอ้าว

เราอัดไว้ทั้งหมด ๕ รูนั่น ยังเหลือรูเดียว

มันต้องออกมา(จาก)รูนั้น พอดีมันออกมา-ก็เอาค้อนตีเอา

หรือจะจับเอาก็ได้ นี่-มันเป็นวิธีอย่างนี้เณร

แล้วเณรก็เลยบอก เหมือนกันแหละอาจารย์-ที่อาจารย์สอนมาน่ะ

**จะว่าขันธ์ ๕ ก็ได้ อายตนะก็ได้ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒

อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท แล้วแต่จะสวน-แล้วแต่จะพูดนั่น

ความจริงแล้วมาจากใจ-มาจากใจ เพราะเราไม่เคยเห็นใจเรา**

ใจนั่น-มันอยู่ที่คน

ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ เรียกว่า‘อายตนะภายใน ๖

อายตนะภายนอก ๖’ รูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัส-ธรรมารมณ์

เป็นกฎแห่งกรรมทั้งนั้น จึงว่าการกระทำเป็นกฎแห่งกรรม

เอาชนะกรรมได้ เพราะปัจจุบัน’

อาตมาเคยพูด-เคยเล่าเรื่องนี้มาบ่อย ๆ ว่า

**‘เอาเชือกผูกไว้ส้น(ปลาย)นั้น-ส้นนี้ ตัดตรงกลางแล้ว

เชือกมันก็ไปอยู่กับส้นเดิมของมัน เพราะมันตึง

และเป็นยาง(เชือกไนล่อน) ตัดปุ๊บ-มันขาดปั๊บแล้ว

แล้วมันก็ต้องคืนไปอยู่ติดกับเสาเดิมทางข้างนั้น-ข้างนี้’**

เป็นอย่างนั้น

**อันนี้แหละเอาชนะกรรมได้ อยู่เหนือกรรมได้

เอาชนะทุกข์ได้ อยู่เหนือทุกข์ได้จริง ๆ**…”

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

————————————————————————————————

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※

※ ※

※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※

※ ※

※ อย่าหลงชีวิต ※

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ

_/|\_ _/|\_ _/|\_

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *