“…**‘ถึงที่สุดแล้ว ญาณย่อมมี’
มันถึงที่สุดแล้ว มันจึงรู้ครับ**
ก็เลยเป็นวิปลาสที่ตรงนี้ครับ
แต่ผมเป็น ผมไปติดความสุขครับ
เพราะไม่เคยเป็น ไม่เคยมีอย่างนี้
นึกว่ามันสูงขึ้นไปประมาณสักเมตรนั่นแหละครับ หรือ ๒ เมตร
เหินดินขึ้น คือเดินอยู่บนอากาศนี่แหละครับ
มันเป็นอย่างนั้น
แต่ความจริง เดินบนดินนั่นแหละครับ
แต่มันเป็นในใจครับ
เหมือนเราเดินอยู่บนอากาศได้ เป็นอย่างนั้น
ก็เลยติดความสุขอันนั้น
ไม่นาน…ผม-‘เอ! ทำไมมันเป็นอย่างนี้’
ผมก็เลยหวนกลับเข้ามาดูอารมณ์ครับ
ตอนนี้ต้องทวนอารมณ์
แต่ไม่ไปทวนอารมณ์ของรูป-นามครับ
**เมื่อมาทวนอารมณ์
เห็นอารมณ์-เข้าใจอารมณ์แล้ว
ความสุขอันนั้นก็จะค่อยจางไป-จางไป
หรือลดน้อยลง-ลดน้อยลง ก็จะมาอยู่ปกติเองครับ
ให้มันเป็นปกติครับ
เห็น-รู้-เข้าใจ ไม่ต้องหลง-ไม่ต้องลืม
เป็นอย่างนั้น
เมื่อไม่ต้องหลง-ไม่ต้องลืม ก็เป็นปกติ
จิตใจก็สบาย คือว่าง ๆ
แต่ไม่ใช่ว่าง-ไม่มีอะไรนะครับ
คือกิเลสทั้งหลายนั้นแหละ จะไม่เข้ามารบกวนครับ
มันจะเห็นเป็นชิ้น-เป็นอัน เป็นชิ้น-เป็นอัน**
เราเคยพูด-เคยคุยกันเรื่องกิเลส
กิเลสทุกประเภทครับ
จึงว่า**‘ศีลเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ
สมาธิเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง
ปัญญาเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด’
มันจะมารวมลงที่จุดนี้ทั้งหมดเลย**
**เมื่อรู้ครบ-จบถ้วนแล้ว เราก็รู้นะครับ
จะให้คนอื่นรู้แทนเราไม่ได้
บัดนี้ใครจะพูดเรื่องอะไร เรารู้
พูดธรรมะให้ฟัง-ก็รู้
สิ่งที่ไม่เป็นธรรมะ พูดแล้วก็รู้
อันนี้มันจะรื้อถอนทั้งหมดเลยครับ
รื้อถอนโดยไม่ต้องนึก-ต้องฝัน*
อันนี้แหละครับ ทุกคนต้องประสบเรื่องนี้ครับ**
*ถ้าหากว่าเรายังไม่ทันรู้-ไม่ทันเห็น-ไม่ทันเป็น
ก็คล้าย ๆ คือ จวนจะตาย
หรือจวนจะหมดลมหายใจนี่ครับ
มันจะเห็น-จะรู้-เข้าใจเรื่องนี้*
จึงว่า อารมณ์นั้นทวนมาตั้งแต่ต้น
ตั้งแต่วัตถุ-ปรมัตถ์-อาการ
โทสะ-โมหะ-โลภะ
เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ
รู้ไปอย่างนี้ ทวนให้มัน…
สมมติเอาครับ เหมือนกับเราเดินทางนี่แหละ
เราเดินทางนี้ ทีแรกเดินไป
เราไม่ได้ตัด-ไม่ได้ถางอะไรมาก
ไม่ได้โค่นหลัก-โค่นตอมาก แต่ว่าถางให้ไปได้
บัดนี้เราทวนไปจนจบ
ทวนไปจบแล้ว ก็ทวนตั้งแต่ปลายลงมา
เรียกว่า‘อนุโลม-ปฏิโลม’อย่างนี้ครับ
บัดนี้ ทางนั้นเป็นหลัก-เป็นตอ
ก็ค่อยตัด-ค่อยเตียนเข้า
ปัด-กวาดเข้าให้มันละเอียด
มันสมมติพูดน่ะ
ให้รู้อารมณ์ละเอียดเข้าเป็นพรรค-เป็นพวก
เป็นหมวด-เป็นหมู่ เรียกว่า‘ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๔
ขันธ์ ๓ ขันธ์ ๒ ขันธ์เดียว’อย่างนี้
**ให้มันรู้จริง ๆ ครับ
รู้อันนี้ วิปลาสก็หายไป
จินตญาณก็หายไป วิปัสสนูก็หายไป
มีแต่ปัญญาล้วน ๆ ครับ
มีแต่ญาณของปัญญาเข้าไปรู้
เรียกว่า‘ปัญญาญาณ ญาณเข้าไปรู้’**
อันนี้แหละครับ ที่ผมได้แนะนำ
พร่ำสอนมาหลายคนครับ
มีคนรู้มาถึงจุดนี้น้อยคน
แต่รู้เรื่องรูป-นามนั้นมาก สอนกัน-ก็รู้มาก
แต่รู้เรื่องจิตใจเปลี่ยน
ให้ทำตัวเป็นอริยบุคคลนี้-เป็นพระ นั่นก็มีมาก
บางคนก็จิตใจเปลี่ยนครั้งเดียว
บางคนก็ ๒ ครั้ง-๓ ครั้งไป เป็นอย่างนั้น
แต่ความรู้-มันรู้ครับ พูดให้ฟังแล้ว-รู้ครับอันนี้
แต่มันยังไม่ชัดเจนครับ
ผมพูดความจริง จะว่าหาว่าผมพูดอวด
หรือว่าหาว่าคุย-พูดมากก็ได้
เพราะ**เรื่องของคน มันต้องเป็นอย่างนั้นครับ รู้ได้ครับ**
ไม่มีใครพูดให้ฟังครับ เรื่องเหล่านี้-ผมรู้
จึงว่า‘พุทธานุพุทธัง’ หรือจะว่า‘สาวกพุทธะ’ก็ได้
จะว่าอย่างไรก็ได้ครับ ห้ามไม่ได้ครับ…”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
————————————————————————————————
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※
※ ※
※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※
※ ※
※ อย่าหลงชีวิต ※
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ
_/|\_ _/|\_ _/|\_

ใส่ความเห็น