“…วิธีพุท-โธ ผมก็ได้ทำมา
วิธีอรหัง ผมก็ทำมา
วิธีพอง-ยุบ ผมก็ได้ทำมา
บัดมาทำวิธีติง-นิ่งนี่แหละ
ผมก็เลยมาตัดคำเว้าของอาจารย์ออก
**‘เฮ็ดซือ ๆ เพียงเอาความรู้สึก
เมื่อรู้อันนี้แล้ว มันรัดกุมหมด’**
ผมเข้าใจอย่างนี้
ผมจึงบ่ได้นำเรื่องวิธีพุท-โธมาสอน
และบ่ได้นำเรื่องอรหังมาสอน
และบ่ได้นำเรื่องพอง-ยุบ มาสอน
**ผมอยากแนะนำแต่อย่างเดียวเท่านี้
เพราะว่ามันรัดกุมทีเดียว
มันสั้นที่สุด อย่างกะทัดรัด
ทุกคนต้องประสบเอาได้จริง ๆ**
จะเปรียบเหมือนดั่งดำดินไปนี่
โผล่ขึ้นกรุงเทพ ฯ โลดบัดเดียว
นี่ผมคิดอย่างนั้น
หรือจะเปรียบเทียบอีกอย่างหนึ่ง
เราขึ้นเครื่องบินที่สนามบินนี่
ไปลงปุ๊บที่สนามบินกรุงเทพ ฯ ดอนเมืองโน่นทีเดียว
มันเร็วไปอย่างนี้
ฉะนั้นผมจึงอยากเว้าแต่เรื่องนี้
ถ้าให้ผมเว้าเรื่องนี้นะ-บ่เมื่อย ถ้าพูดเรื่องอื่น-ผมเหนื่อย
ถ้าพูดเรื่องนี้-ให้ผมเว้าเท่าใดก็ได้ เพราะผมชอบ-ผมมัก
จะมีเงิน-มีทองนั่นก็ดีอยู่ บ่ได้คัดค้าน
แต่ความสุขประเภทเรื่องเงินทองนั้น มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ความสุขเรื่องนี้ มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถ้าจะคิดน้ำหนัก
(หากคน)มีเงินล้านบาท
(จะ)มา(ขอ)ซื้อเอาความสุขประเภทนี้ (ให้)ขายซะ
โอ้ย! แล่วเท่านั้น ผมบ่เอาแล้ว
ซิเอามาเฮ็ดหยังเงินล้านบาทนี้ ?
**ความสุขประเภทนี้ ผมว่ามันเหนือเงินล้านบาท
ชีวิตของผมนี้ ผมว่าผมได้ประสบสุขอันนี้
ผมจึงว่า‘บ่เชื่อใครทั้งหมด’** แต่ผมรับฟัง
ครูบาอาจารย์สอนอย่างไร ผมรับฟังหมดทุกองค์
แม้จะเป็นเด็กน้อย ๆ มาสอน ผมก็รับฟัง
แต่ความจริงนั้น กลเม็ด(ที่)เว้านั้นผิดหรือถูก
ผมรับฟังซือ ๆ แต่ผมบ่ค้าน
ผิด-ถูก เป็นเรื่องของเพิ่นเว้า
ถ้าหากเราโง่นั้น เราก็ต้องศึกษา
ตามปกติ ความโง่นี่ต้องมาก่อนหมดทุกคน
ความฉลาดมันจึงมาตามหลัง
ถ้าหากว่าความโง่บ่เกิดขึ้นเสียแล้ว ความฉลาดบ่มี
ผมนึกได้อย่างนี้
เพราะว่าสมัยผมเป็นเณร
ครูอาจารย์สอนให้เฮ็ดไปหมดทุกอย่าง
ถ้าหากผมฉลาดแล้ว ผมบ่ไปงมเฮ็ดอย่างนั้น
ผมเฮ็ดตั้งแต่สมัยผมเป็นเณร เฮ็ดแบบนี้โลด
โอย…ผมซิเลยบ่สึกฮอดปานนี้
ผมซิได้เป็นพระเถระผู้ใหญ่ซ้ำไป
บางทีอาจจะได้เป็นเจ้าคณะตำบลนำเขาซิเป็นได้
บางทีผมซิได้เรียนนักธรรมตรี-ธรรมโท-ธรรมเอก
สอบเปรียญได้คือเพิ่นอย่างอาจารย์มหานี่ก็ซิได้เด๊อครับ
ถ้าหากผมบวชตั้งแต่พู้น บ่สึกเท่าป่านนี้
นี้แหละ ความโง่ของคนต้องมาก่อนทุกคน-ทุกคนไป
ความฉลาดจึงมาตามหลัง
ความผิดมาก่อน ความถูกต้องจึงมาตามหลัง
เมื่อคนบ่รู้จักความผิดอยู่แล้ว ความถูกต้องไม่มี
**เมื่อรู้จักความผิดและความถูกต้อง ทั้ง ๒ อย่างนี้
จึงเรียกว่าเป็นมัชฌิมาปฏิปทา
มัชฌิมาปฏิปทานั้น เดินทางเข้าไปสู่จุดนี้แหละ
มัชฌิมาปฏิปทา-เดินทางสายกลาง
รู้จักจุดที่สุดของมันนั่นแหละ
เห็นจุดนี้แหละ เป็นมัชฌิมาปฏิปทา**
จึงว่าบ่ผิด-บ่ถูก อาจารย์องค์ใดสอนก็บ่ผิด-บ่ถูก
คำว่า‘มัชฌิมาปฏิปทา’นี้ แปลว่า
ความเว้าของผมเด๊นี่
ผมบ่ได้เว้าขอผู้อื่นเด๊นี่ ผมบ่ได้รู้ปริยัติ
**เมื่อไปถึงจุดอาการเกิดดับนี่แหละ ‘เป็นมัชฌิมาปฏิปทา’
บอกว่า ‘โอ้! เดินเข้ามานี่แล้ว-ถูกปุ๊บ
เอานี้โลดจุดเดียวเท่านี้เนาะ
๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ รวมลงสู่จุดเดียวเท่านี้’
จะเรียนหนังสือได้ ก็มาสู่จุดนี้
เรียนหนังสือบ่ได้ ก็มาสู่จุดนี้
เขียนหนังสือได้อย่างคล่องแคล่ว ก็ซิมาทำงานอันนี้
เขียนหนังสือบ่เป็นจักตัว ก็ซิมาทำงานสู่จุดเดียวเท่านั้น**
นี่ปัญหาของมัน…”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
————————————————————————————————
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※
※ ※
※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※
※ ※
※ อย่าหลงชีวิต ※
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ
_/|\_ _/|\_ _/|\_

ใส่ความเห็น