รู้สึกกาย รู้สึกใจ 10 กุมภาพันธ์ 2023

“การปฏิบัติธรรม มันมีวิธีการต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน

กล่าวคือ แนะแนวไปตามอุดมการณ์ของแต่ละคน

คนใดรู้สิ่งใด-ก็เอาสิ่งนั้นมาสอน เรียกว่า‘ศาสนา’

ศาสนาจึงแปลว่าคำสอน **ศาสนาคือตัวเรานี่แหละ

ตัวทุกคนนี่แหละเป็นตัวศาสนา**

แล้วสอน-ก็สอนเข้าหู คนมันมีหู-คนมันมีตา

สอนให้ดู-ดูให้เห็น หูให้ฟัง…ฟังแล้วจำเอานำไปใช้-นำไปปฏิบัติ

ท่านสอน ไม่ใช่ว่าสอนแล้วจะไปนิ่งนอนใจอยู่-ก็ไม่ได้

*สอนแต่ผู้อื่น-แต่ไม่ได้สอนตัวเอง ก็ไม่ได้

การสอนคนอื่นนั้น-สอนง่าย แต่สอนตัวเอง-สอนยาก*

ความผิดนั้น ท่านจึงว่า‘ยกมาเป็นครู-เป็นอาจารย์’

แต่*เราก็ไม่เข้าใจ เราเข้าใจเอาแต่เพียงว่า

รู้เอาไว้ไปสอนคนอื่น แต่ตัวเราเองไม่เคยสอนสักที*

หลวงพ่อก็เคยเป็นอย่างนั้น

เห็นคนอื่นทำผิดนี้ ฉวยจับเอามาว่าเลย

ตัวเองทำผิด-ไม่เคยว่าสักที นี่-มันเป็นอย่างนั้น

จึงว่า‘ความผิดเป็นครู-แต่อย่าทำผิด’

**พวกเรามาปฏิบัติอยู่ที่นี้ มีวิธีทำจังหวะ

แล้วก็เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้มีการนิ่ง

การนั่งนิ่งนั่นเป็นอุปสรรค มันเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติ

วิธีการที่หลวงพ่อนำมาใช้อยู่ทุกวันนี้ จึงว่าไม่ต้องนั่งนิ่ง

แต่ให้ทำจังหวะมาก ๆ โดยเฉพาะคนใหม่ ๆ นี่

ต้องทำจังหวะมาก ๆ ทำช้า ๆ

นาน ๆ ไป พอมันรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ…ที่เรียกว่ารู้เรื่องรูป-เรื่องนามนี้

บัดนี้ต้องเดินจงกรมให้มาก

การเดินจงกรมนั้นก็ดี แต่ว่าสำหรับคนใหม่ ๆ นั้น-สู้การทำจังหวะไม่ได้

การทำจังหวะ ต้องทำช้า ๆ นิ่ม ๆ หรือทำอ่อน ๆ

ถ้าทำแรง ๆ ทำไว ๆ มันกำหนดไม่ทัน

สติเรามันยังไม่แข็งแรง จึงว่าให้ทำช้า ๆ อ่อน ๆ

ทำให้เป็นจังหวะ-จังหวะ ให้รู้สึก

มันหยุด-มันนิ่ง…ก็ให้มันรู้สึก มันไหวไป-ไหวมา…ก็ให้มันรู้สึก

ความรู้สึก-มันก่อให้เกิดปัญญา

มันก่อให้เกิดญาณขึ้นตามธรรมชาติของมันเอง**

*ส่วนความไม่รู้สึกนั้น มันเป็นเพราะไม่ได้กำหนดตัวเอง

หรือว่าเป็นไปด้วยอวิชชา เป็นไปเพราะความไม่รู้*

ความไม่รู้สึกตัวนี้ ท่านว่าเหมือนกับสัตว์

ตัวหมู-หมา-เป็ด-ไก่-วัว-ควายนี้ มันไม่รู้สึก

แต่มันก็ไปเป็น-มาเป็น-กินเป็น-นอนเป็น-สืบพันธุ์เป็น แต่มันไม่รู้สึก

ในขณะที่มันทำ-มันพูด-มันคิดนั้น มันไม่รู้สึก-แต่มันก็ทำไป

เราก็เห็นอยู่นี่ เช่น สุนัขตามวัด

พอมีตัวใด-ตัวหนึ่งขยับยึกยักวิ่ง ตัวอื่น ๆ มันวิ่งตามกันไปทันที

ท่านว่า‘มันไม่รู้สึกตัวมัน’ แต่มันก็รู้…ที่มันวิ่ง-มันแล่นไปนั่นนะ

คนเรา-มันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น จึงว่าให้ฝึกหัดดัดนิสัย-ฝึกหัดดัดแปลงแก้ไขตัวเอง

ไม่ใช่ว่าทำไปแล้ว จะมีผู้ใดมายกย่องเชิดชูอย่างนั้น-อย่างนี้

ไม่มี ถ้าขืนเป็นอย่างนั้นแล้ว-เลยไม่ได้ดูตัวเราเอง

**การปฏิบัตินั้น จึงว่าพยายามฝึกหัดดัดนิสัยตัวเอง-ฝืนนิสัย**

หลวงพ่อจึงเคยสอนว่า‘กลางวันไม่ต้องนอน’

ไม่นอนจริง ๆ-ตัวหลวงพ่อ พยายามทำอยู่ตลอดเวลา

กลางคืนถึงจะนอน ถ้าไม่นอน-ก็ไม่ได้…มันจะไม่ได้พักผ่อน

แต่กลางวันไม่นอน และก็ไม่ชอบคุย

อย่างที่หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟัง นายฮ้อยหัวหมู่เคยปฏิบัติธรรมด้วยกัน

เป็นคนชอบพอกัน…พอถึงเวลา ก็มาแล้ว-มาคุย

หลวงพ่อก็หาทางหนี ไม่อยากพูด-ไม่อยากคุย

เพราะตัวเองมาปฏิบัติธรรมะ จะมาเป็นคนชอบพูด-ชอบคุย…มันไม่ได้

เลยไม่ได้ทำธุระหน้าที่ของตัวเอง

การที่ตัวเองเป็นคนชอบพูด-ชอบคุยนั้น มันคิดไปโน้นแล้ว-ใจ…แล้วเราไม่เห็น

*ในขณะที่เรากำลังพูด-กำลังคุยอยู่นั้น ก็ไม่ได้ดูตัวเราเสียอีกแล้ว-มันเป็นอย่างนั้น

ตัวความรู้นั้น-มันจึงไม่ปรากฏเกิดขึ้น เพราะความไม่รู้นั้น-มันมีอยู่แล้วนะ

ความไม่รู้คืออะไร ? ก็คือความไม่รู้ตัวเรา-มันไปรู้ที่อื่นนู้น

ท่านว่า‘อวิชชา’ อวิชชาแปลว่าความไม่รู้

‘อะ’-แปลว่าไม่ ‘วิชชา’-แปลว่ารู้…มันรู้ไปอย่างอื่นนู่น-แต่มันไม่รู้ตัวเอง*

**วิชชาแปลว่ารู้ วิชชานี้คือว่ารู้รอบตัวเรา

อย่าปล่อยปละละเลย-ไปรู้ของอย่างอื่น ให้มันรู้อยู่ที่รอบตัวของเรานี้

เคลื่อนไหว-ให้มันรู้**

เมื่อหลวงพ่อหลบเขาไปแล้ว ๒-๓ ครั้ง เขาก็เลยไม่มาอีก

เพราะเขารู้แล้วว่าหลวงพ่อไม่อยากพูด-ไม่อยากคุยกับเขา

หลวงพ่ออกไปเดินโน่น ตากแดดอยู่ทุ่งนา-เดินอยู่ในทุ่งนาโน่น

ไม่เข้ามาพูด-มาคุย เป็นอย่างนั้นนะ-นิสัย

**เราต้องรู้จักคำนึง-คำนวณอยู่เสมอ การปฏิบัติธรรม

เราไปเข้าห้องน้ำ-ห้องส้วม ก็เป็นการปฏิบัติธรรม

มาฉันข้าวนี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรม ไปสรงน้ำก็เป็นการปฏิบัติธรรม

ให้ว่าทุกสิ่ง-ทุกอย่าง ล้วนเป็นการปฏิบัติธรรมทั้งนั้น

การปฏิบัติธรรมะ จึงไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์กาล-สถานที่ใด ๆ ทั้งหมด

ถ้าหากเรารู้จักวิธีปฏิบัติจริง ๆ**

คนที่ไม่รู้จักวิธี-ก็ไปนั่งอยู่อย่างนั้นล่ะ ทำอยู่อย่างนั้นล่ะ-จังหวะ

แต่คิดไปทางใด-ก็ไม่รู้ ร้อยอันพันอย่าง-ไม่รู้สึกตัว

รู้น้อย ให้ว่าอย่างงั้นเถอะไป๊

มันคิด-จึงค่อยรู้ ถ้าอย่างนี้-มันก็รู้เรื่องหนึ่งแล้วนะนั่น

**อันเคลื่อนไหวนี้-ให้มันรู้จริง ๆ อันมันกระพริบตา-หายใจ

มันนึก-มันคิด ให้มันรู้เท่าทันเหตุการณ์อันนั้น ๆ จริง ๆ**

**พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า‘ทุกข์ให้กำหนดรู้’

อันตัวทุกข์นี้ก็คือตัวเคลื่อน-ตัวไหว อันนี้ละเป็นตัวทุกข์-ท่านสอนให้รู้ทุกข์อันนี้แหละ

‘สมุทัยต้องละ’ แต่นี่มันไม่ละ-มันคิดไป

อันตัวสมุทัยกับตัวคิด ก็คือตัวเดียวกันนั่นแหละ

‘มรรคต้องเจริญ’ เจริญก็คือทำนั่นแหละ

‘นิโรธต้องทำให้แจ้ง’…ทำไป-ทำไป เราก็จะรู้มากเข้า-รู้มากเข้า

สะสมเข้าทีละเล็ก-ละน้อย…มันก็เลยแจ้ง นี่-รู้จัก

ก่อนที่จะรู้จัก ต้องอาศัยญาณปัญญาหรือญาณเกิดขึ้น

มันมีญาณเกิดขึ้นตามลำดับ ตามขั้น-ตามตอนของมัน…ที่หลวงพ่อทำมา**

*ไม่ใช่จะไปจำเอาจากคำพูดของคนนั้น-คนนี้ ไม่ใช่*

หลวงพ่อรู้ หลวงพ่อจึงว่า‘ไม่พูดคำคนอื่น’-พูดคำอย่างที่หลวงพ่อพูดอยู่นี่ล่ะ

คนอื่น-ท่านรู้อย่างนั้น ท่านก็เอาเรื่องนั้นมาสอน

หลวงพ่อไม่ได้รู้อย่างนั้น **รู้เพราะการกระทำ

รู้การกระทำของตัวเอง นี่แหละที่หลวงพ่อรู้

จึงว่า‘พวกเรา ถ้าปฏิบัติจริง ๆ-ก็ต้องพยายามทำจริง ๆ

อย่าเป็นคนหลอกตัวเอง’** คนมันชอบหลอกตัวเอง

ไม่ว่าใครทั้งนั้นแหละ ชอบหลอกตัวเอง…”

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

————————————————————————————————

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※

※ ※

※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※

※ ※

※ อย่าหลงชีวิต ※

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ

_/|\_ _/|\_ _/|\_

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *