รู้สึกกาย รู้สึกใจ 13 มกราคม 2023

“…เมื่อ**เรามามองดูลงไปในสภาพการเคลื่อนไหวทางรูปกายนี้ ก็รู้สึกตัว

จิตใจมันนึก-มันคิด ก็รู้สึกตัว

คือให้เรามาอยู่กับการเคลื่อนไหวทางรูปกายนี้**

*เราจะไปอยู่กับการเคลื่อนไหวของจิตใจที่มันนึกคิดนั้นไม่ได้

เพราะมันไม่มีตัวตน จับไม่ถูก-มองไม่เห็น*

ส่วนรูปกายนี้…มันจับถูกต้องได้-แตะต้องได้ มองเห็นได้-สัมผัสได้ด้วยมือ

ส่วนของจิตใจที่มันนึก-มันคิดนั้น มองไม่เห็นด้วยตา-จับไม่ถูกด้วยมือ

แต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก เรียกว่า‘ปัญญารอบรู้’

**เมื่อเรามีปัญญารอบรู้แล้ว มันนึก-มันคิด…เราก็เห็น-เราก็รู้

ความเห็นจิตนึกคิดนั้นเป็น‘มรรค’

‘มรรค’จึงเป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์

เมื่อเรามัก(ชอบ) เราต้องดูลงไปที่ตรงนี้-และก็ปฏิบัติลงไปที่ตรงนี้

ผลมันออกมา-เรียกว่า‘นิโรธ’ พ้นไปจากทุกข์-พ้นไปจากการปรุงแต่ง

พ้นไปจากการยึดถือ พ้นไปจากการมีโทสะ-โมหะ-โลภะ

พ้นไปจากการยึดมั่น-ถือมั่น พ้นไปจากสิ่งทั้งปวงนั้น

ท่านเรียกว่า‘นิโรธ’ แปลว่าความพ้นไป-พ้นไปจากทุกข์**

ท่านสอนอย่างนั้น

**ดังนั้น ผู้ที่มีปัญญาก็พิจารณาเห็นแจ้งตามความเป็นจริงแล้ว

ก็เอาไปใช้กับการ-กับงานได้ทุกวิธี

การงานก็เป็นธรรม ตัวการปฏิบัติลงไปก็เป็นธรรม

ธรรมะนั้นจึงเอาไปใช้กับการ-กับงานได้ทุกวิธี

ดังนั้นคนใดรู้ธรรม-เห็นธรรม-เข้าใจธรรมแล้ว

จึงทำงาน-ทำการไปตามหน้าที่ ไม่มีความเกียจคร้าน

ไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า**

เราคิดดูถึงพระพุทธเจ้าของเรา

แต่เมื่อสมัยพระองค์รู้ธรรมะ-เห็นธรรมะ-เข้าใจธรรมะ

ซาบซึ้งในธรรมะที่ตนรู้-ตนเห็น-ตนได้-ตนมีนั้นแล้ว

พระองค์ก็นำไปเทศน์-ไปสอน

เมื่อพระองค์ได้เทศน์-ได้สอน ได้ลูกศิษย์จำนวน ๕ คน คือปัญจวัคคีย์

หรือหลายคน-ก็ไม่ทราบแหละ

และท่านเหล่านั้นได้รู้ตาม-เห็นตาม-เข้าใจตามพระอง์แล้ว

เป็นอย่างพระองค์-มีอย่างพระองค์แล้ว

สัมผัสแนบแน่นอยู่เหมือนอย่างที่พระองค์รู้นั้นแล้ว

พระองค์ก็ให้นำไปเทศน์-ไปสอน

พระองค์ทรงแนะนำว่า

‘ให้จาริกไปคนละทาง’ เพราะหากไปด้วยกันทางเดียวกัน-มันไปได้น้อยเส้นทาง

จึงให้ต่างองค์-ต่างไป จึงได้หลายทาง

ส่วนการพูด-การสอนเรื่องที่ให้ทุกคนประพฤติปฏิบัติตามนั้น

ก็ให้ทำไปตามอุดมการณ์ของตัวเองที่ได้รู้-ได้เห็น-ได้เข้าใจนั้น

ซึ่งก็แล้วแต่เทคนิคกลไกของครูบาอาจารย์ท่านนั้น ๆ จะสอนให้เขาทำโดยวิธีใด

พระองค์สอนอย่างนั้น แต่ความพ้นทุกข์นั้นเหมือนกัน

ซึ่งพระพุทธองค์เองก็เคยตรัสเอาไว้ว่า ‘สัตว์ทั้งหลายเหมือนเราตถาคต’-ดังนี้เป็นต้น

คำว่า‘เหมือนกัน’นี้ ก็คือว่ามีแข้ง-มีขา มีหน้า-มีตา มีเท้าเหมือนกัน

มีจิต-มีใจเหมือนกัน แต่ว่าสูง-ต่ำ-ดำ-ขาวนั้น…อาจไม่เหมือนกัน

สติปัญญานั้นก็มีเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน-ไม่เท่ากัน

**‘มีเหมือนกัน’นั้นคือ ถ้ารู้-เห็น-เข้าใจ-สัมผัสแนบแน่นได้แล้ว

จะหมดความสงสัยเหมือนกัน เมื่อหมดความสงสัย-แสดงว่าหมดทุกข์

ถ้าเรายังมีความสงสัย แสดงว่าเรายังมีทุกข์**

ความทุกข์-ความหมดทุกข์นั้น จึงแยกออกมาได้หลายอย่าง-หลายประการ

ดังนั้นเราท่านทั้งหลาย **ผู้มีปัญญาก็ดี-ผู้ที่ไม่มีปัญญาก็ดี

ย่อมปฏิบัติให้รู้ได้-เห็นได้-เข้าใจได้เหมือนกัน

แต่คนที่มีปัญญานั้น-เมื่อพิจารณาแล้ว ก็ลดละมานะ-ลดทิฏฐิ-ลดความเห็นแก่ตัว

ลดความโกรธ-ความโลภ-ความหลง ให้มันลดน้อยไป

ส่วนคนที่ไม่มีปัญญา ต้องประพฤติปฏิบัติให้มีญาณเกิดขึ้น

เมื่อมีญาณเกิดขึ้นแล้ว-ปัญญาก็รอบรู้ มันจืดจางไปเอง-สิ่งเหล่านั้นมันจืดจางไปเอง

อันนี้เรียกว่า‘รู้-เห็น-เข้าใจ’ เพราะปัญญา(จาก)การปฏิบัติธรรม**

ส่วนการพิจารณานั้นเรียกว่า‘ปัญญาพิจารณา’ หรือว่าการเห็นแจ้ง

มันต่างกันอย่างนี้ ผู้ที่ปฏิบัตินั้นก็มีญาณปัญญาเกิดขึ้นจากจิตสำนึก

ส่วนผู้ที่พิจารณาเอานั้น เรียกว่า‘พิจารณาตามธรรมชาติ

ให้เห็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น’

คนเราเกิดมาแล้วก็แก่-เจ็บ-ตายเหมือนกัน ท่านว่าอย่างนั้น

นี่เรียกว่า‘ความเหมือนกัน’ มันเป็นอย่างนั้น…”

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

————————————————————————————————

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

※ อย่าหลงตน-อย่าลืมตัว ※

※ ※

※ อย่าหลงกาย-อย่าลืมใจ ※

※ ※

※ อย่าหลงชีวิต ※

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

รู้สึกตัว…รู้สึกกาย รู้สึกใจ

_/|\_ _/|\_ _/|\_

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *